ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 26 กรกฎาคม - 1 สิงหาคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
เผยแพร่ |
รศ.ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ ผู้อำนวยการหลักสูตรรัฐศาสตรมหาบัณฑิต คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต มองการเมืองภาพใหญ่ ภายหลังได้ ส.ว.ชุดใหม่ว่า ส.ว.ที่เพิ่งผ่านการเลือกสรร คือตัวละครใหม่ของหน้าการเมืองไทย ตัวละครนี้คาดว่าตอนที่เขาออกแบบมาโดย คสช. เขาต้องการให้เลือกสรรกันเองเพราะว่าแต่ละคนมีแนวโน้มไม่รู้จักกัน จึงมีแนวโน้มที่ไม่ได้เป็นกลุ่มเป็นก้อนหรือว่าปีกเดียวกัน ดังนั้น เมื่อคุณเข้ามาในนามของวุฒิสภา คุณไม่ได้เป็นก๊กเป็นเหล่าตั้งแต่ต้น เสียงของคุณก็จะไม่มีพลัง
เกมนี้เป็นเกมที่พวกรัฐทหารใช้ออกแบบในการได้ ส.ส.ตลอดมาก่อนหน้านี้ที่บอกว่าทำไม ส.ส.ไม่ต้องสังกัดพรรคการเมือง เพราะเขาต้องการให้ ส.ส.มาจากจังหวัดต่างๆ แบบข้ามาคนเดียว เมื่อเข้ามาคนเดียวในทางการเมืองคุณไม่มีพลัง คุณจะมีพลังได้เมื่อคุณรวมกันเป็นเสียงเป็นร้อยในนามของพรรคการเมือง
ดังนั้น พอคุณมาคนเดียวคุณไม่มีพลัง ก็สามารถที่จะพูดคุยกันได้ว่าค่าตัวคุณเท่าไหร่ หรือคุณปรารถนาเรื่องอะไรบ้าง การเจรจาต่อรองกันใต้โต๊ะจึงเริ่มต้นขึ้นได้
การออกแบบ ส.ว.ครั้งนี้มุ่งจะได้ ส.ว.ที่สูงอายุ เป็นการประกันว่าวัยสูงอายุมีแนวโน้มเป็นกลุ่มอนุรักษนิยมในทางสังคม วัฒนธรรม ความคิด ความเชื่อ การปฏิบัติ ดังนั้น ส.ว.กลุ่มนี้ก็ยังเป็นพลังของการทัดทานความเปลี่ยนแปลงของพวก ส.ส.
เป็นเหตุว่าทำไมเขาถึงกำหนดอายุ 40 แล้วส่วนใหญ่ที่มาสมัครจริงๆ จึงเห็นอายุ 60 ขึ้น เป็นการออกแบบเพื่อต้องการให้ต่างคนต่างมา สูงวัย และไม่มีพลัง
วุฒิสภาจึงเป็นเกมระดับชาติมีเรื่องราวมากมาย ก่อให้เกิดการรวมกลุ่มได้ว่าใครจะเป็นคนกำกับ เพราะว่าการอยู่ในคอกของใครคุณก็จะได้รับการตอบแทนที่เหมาะสมกับคุณ ไม่ว่าจะเป็นยศถาบรรดาศักดิ์ ทรัพย์สิน เกียรติยศศักดิ์ศรีได้หมด ดังนั้น คุณอยู่ 5 ปี คุณก็อยู่ในการควบคุม
ความเปลี่ยนแปลงจะไม่เกิดขึ้นในพลัง ส.ว.
แต่ครั้งนี้มันเกิดปรากฏการณ์มากไปกว่านั้นคือ มีกลุ่มหนึ่งได้เข้าไปจัดการให้มีผู้สมัครในทุกระดับ จนกระทั่งมีการคำนวณว่า ส.ว.มากกว่า 75% เป็นของคนกลุ่มนี้ เท่ากับว่าตอนนี้ไม่ได้เป็นไปตามที่ คสช.ออกแบบ เพราะ คสช.ออกแบบเพื่อไม่ให้ใครควบคุม ส.ว. แต่ตอนนี้ถูกควบคุมโดยกลุ่มพลังกลุ่มหนึ่ง
จึงปรากฏภาพว่า 250 ส.ว.พยายามตรวจสอบที่มาของ ส.ว. 200 คน เพราะตัวแทนที่เป็นมรดกของ คสช. วิตกกังวลว่าไม่ได้อยู่ในมือหรือทิศทางที่พวกเขาจะควบคุมได้ แม้จะเป็นการเสียมารยาทอย่างมากก็ตาม
ส.ว.ชุดนี้จะเป็นคนเลือกคนที่อยู่ในตำแหน่งองค์กรอิสระหรือไม่อิสระทั้งมวล แล้วก็เป็นพลังสำคัญในการตรวจสอบรัฐบาลด้วย หมายความว่าถ้า ส.ว.ชุดใหม่ตรวจสอบรัฐบาลอย่างเข้มข้น กลายเป็นว่ารัฐบาลจะมีผู้ตรวจสอบอยู่ 2 ระดับคือ ส.ส. กับ ส.ว. เสมือนเผชิญศึก 2 เด้ง ซึ่งจะนำไปสู่การต่อรองสูงขึ้น
ใครจะได้ผลประโยชน์จากการต่อรองและนอกเหนือจากการบีบรัฐบาลแล้วเขาจะไปต่อรองอะไรนอกเหนือจากนี้ ต้องติดตามต่อไป
แต่ตอนนี้ ส.ว.กลายเป็นตัวแสดงหน้าใหม่ที่อาจจะพลิกโฉมการเมืองไทยไปอีกหนึ่งขั้น
สภาพการณ์ตอนนี้ทำให้ประชาชนงงงวยกับชีวิตว่าตกลงเราเป็นรัฐอะไรกันแน่ เป็นประชาธิปไตยหรือเป็นเผด็จการ
จะเรียกว่าเป็นเผด็จการก็ไม่ได้นะ เขามาจากการเลือกตั้ง เรียกว่าสภาพการณ์กึ่งเผด็จการ ส่งผลให้เป้าหมายไม่ชัดเจน ประชาชนไม่รู้จะเรียกร้องอะไรต่อใครจากใครดี
สภาพการณ์อย่างนี้ มันดีต่อชนชั้นนำนะ เพราะพรรคที่เป็นรัฐบาลแกนหลักทำอะไรไม่ได้เลย ซึ่งเขาเรียกว่านี่คือการทำให้ทุกคนรู้สึกถูกบล็อก ตกอยู่ภายใต้ความกลัว ระบบความกลัวยังมีอยู่ทั่วไป
ตรงนี้มันจำเป็น วิธีการที่ทำให้กลุ่มผู้ได้ประโยชน์ ชนชั้นนำทางเศรษฐกิจและการเมือง ยังไม่จำเป็นที่จะต้องเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น สภาพการณ์อย่างนี้ถ้ายังอยู่ต่อไปได้ก็อยู่ต่อ 4 ปี 8 ปีก็ได้
อย่าลืมนะครับว่า คสช.ตอนรัฐประหารปี 2557 บอกว่าจะอยู่ยาว 20 ปี ตอนนี้มาได้ครึ่งทางแล้ว แล้วคิดว่าเขาจะทำได้จริงไหม ตอนนี้เขาอยู่ได้ 10 ปีแล้ว สภาพการณ์เราก็อึดอัดอยู่อย่างนี้แหละ
อย่าลืมนะว่ายังมียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่จะงัดออกมาเล่นงานตรวจสอบรัฐบาล ซึ่ง 10 ปีก่อนหน้านี้เขายังไม่เล่นนะ แต่เดี๋ยวเราจะเห็นคู่มือใหม่ๆ เพื่อกำกับรัฐบาลคุณเศรษฐา ทวีสิน พรรคเพื่อไทย คุณทักษิณ ชินวัตร จะอยู่ในกำมือมากยิ่งขึ้น
ส่วนศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินยุบพรรคก้าวไกลหรือไม่ และสะท้อนอะไรนั้น รศ.ดร.ธำรงศักดิ์บอกว่า ตอนแรกใครๆ ก็คาดว่าการยุบพรรคก้าวไกลคงอยู่ในช่วงต้นปี แต่ต่อมาเกิดภาวะยืดเยื้อ คนก็เริ่มงงว่า หรือพรรคก้าวไกลจะได้อยู่ ในขณะเดียวกันมีแรงกดดันจากนอกประเทศมาเป็นระยะ ว่าการยุบพรรคก้าวไกลเป็นการทำลายประชาธิปไตย
ซึ่งสภาพการณ์เช่นนี้ ผมคิดว่าฝ่ายที่ต้องการยุบก้าวไกลต้องคิดมากขึ้น เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมาการยุบอนาคตใหม่เป็นการยุบอย่างไม่รีรอ แต่ผลก็คือการระเบิดของความเกลียดชัง ความสิ้นหวัง ความต้องการความเปลี่ยนแปลง เกิดขึ้นอย่างฉับพลันและต่อเนื่องยาวนาน
กลายเป็นประเด็นที่หลากหลายและสั่นคลอนหลายสิ่งหลายอย่างมาก ซึ่งส่งผลมาถึงวันนี้
แต่การยื้อการพิพากษาช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมามองได้ 2 ด้าน
ด้านหนึ่ง คือการปล่อยระยะเวลาเพื่อให้ประชาชนเตรียมใจมากขึ้น มีเวลาของการเศร้าโศกล่วงหน้าแล้วค่อยยุบ
อีกด้านหนึ่ง ฝ่ายที่ต้องการยุบก้าวไกลกำลังเผชิญหน้ากับคำถามสำคัญว่า ยุบแล้วจะรับมือไหวไหม ทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศ ทำยังไงเราจะรักษาหน้าตาในเวทีนานาชาติ และทำยังไงจะทำให้พวกต่อต้านอ่อนกำลัง
ดังนั้น จังหวะเวลาของการยุบหรือไม่ยุบจึงต้องค่อยๆ ทำ แต่ผมกำลังมองอยู่ว่าเป็นไปได้ไหม แรงปรารถนาของการยุบมันลึกล้ำไม่อาจที่จะให้มีพรรคนี้อยู่ต่อไปได้ ไม่อาจที่จะให้มีผู้นำแบบคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ซึ่งได้ความนิยมอย่างล้นหลามอยู่ต่อไปได้
แต่ถ้ายุบในช่วง 1 ปีหลังการเลือกตั้ง มีโอกาสจะเข้าลูปเดิมของปี 2563 เป็นภาวะสิ้นหวัง ต้องการความเปลี่ยนแปลง
ถ้าเกิดยุบก้าวไกลตอนนี้ สภาพการณ์จะเป็นเช่นเดิมไหม ถ้าสภาพการณ์เป็นอย่างนั้นก็เข้าไปลูปเดิม คือก้าวไกล ไม่ว่าพรรคจะชื่ออะไร แต่พรรคสามารถสร้างกลุ่มผู้นำใหม่ขึ้นมา และในช่วง 2-3 ปีที่เหลือเขาสามารถสร้างภาวะผู้นำของกลุ่มเหล่านี้เหมือนที่สร้างคุณพิธาขึ้นมาได้ สามารถทำงานในสภาได้อย่างเป็นที่น่าจดจำของคนได้ การเลือกตั้งสมัยหน้าก็สามารถที่จะคว้าชัยได้แบบเดิม
ดังนั้น การยุบตอนนี้ไม่ได้แตกต่างกัน แต่ถ้าไปเลือกยุบปีสุดท้าย โดยสภาพการณ์ของระบบการเมืองยังไม่เป็นโทษต่อชนชั้นนำทางเศรษฐกิจ การเมือง และพอถึงปีสุดท้ายของรัฐบาล ค่อยหาข้ออ้างในการยุบ เดี๋ยวหาเอาข้างหน้า เหมือนกับข้ออ้างการรัฐประหาร ถ้าไปยุบในตอนนั้น อาจจะทำให้ไม่มีระยะเวลาพอ การสร้างภาวะผู้นำทางการเมืองไม่สามารถที่จะทำให้ผู้นำกลุ่มใหม่สร้างตัวขึ้นมาได้ทัน
แต่ผมก็คิดอีกแบบหนึ่งนะครับ หรือพรรคใหม่ของก้าวไกล จะมีแคนดิเดตนายกฯ ที่เป็นบุคคลภายนอกที่สูงวัยและเป็นที่นิยมของชาวบ้านอยู่แล้ว คือไม่ต้องใช้ระยะเวลาการสร้างแต่มีแคนดิเดตนายกฯ ที่มีลักษณะของความเป็นคนทันสมัย คิดแบบก้าวไกล อาจจะเป็นทางออกของอนาคตของก้าวไกล
ที่ผมคิดเช่นนี้ เพราะว่าผมเห็นก้าวไกลตั้งอาจารย์วีระ ธีระภัทรานนท์ เป็นกรรมาธิการงบประมาณ ซึ่งไม่เคยมีปรากฏการณ์อย่างนี้มาก่อน อย่าลืมว่าก้าวไกลไม่ใช่เป็นแค่ก้าวไกล แต่มีพลังของประชาชนที่สนับสนุน 14 ล้าน เพราะตอนนี้สิ่งที่ประชาชนไทยได้เรียนรู้ คือเขาไม่เดินขบวนกันหรอก เพราะว่าการเดินขบวนเข้าทางรัฐแบบทหารที่มีปืน แต่สิ่งที่เขากำลังทำ คือเขาก็ยังใช้บัตรเลือกตั้งเปลี่ยนแปลงประเทศไทย
ประชาชนกำลังใช้บัตรเลือกตั้งต่อสู้กับกระสุนปืน การเลือกตั้งปี 2566 คือชัยชนะของบัตรเลือกตั้งเหนือกระสุนปืน อย่างถล่มทลายเพราะไม่เคยมีในหน้าประวัติศาสตร์ เกมทั้งหมดที่ออกแบบการเลือกตั้งของพรรคการเมืองออกแบบมาเพื่อพวกเขา แต่ประชาชนบอกพวกเราต่างหาก
ดังนั้น ตอนนี้สถานการณ์ของการเมืองไทย ชนชั้นนำทางการเมืองดูเหมือนว่าตนเองจะคุมกลไกทางอำนาจได้ แต่พลังประชาชนที่ลุกขึ้นมากมายกลายเป็นพลังที่ชนชั้นนำไทยเต็มไปด้วยความกลัว
อย่าลืมมนุษย์มีทั้งความหวังและความกลัว
ชมคลิป
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022