ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 26 กรกฎาคม - 1 สิงหาคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | เหยี่ยวถลาลม |
เผยแพร่ |
โบราณไทยว่าไว้ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา “เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก” เหยียด เหยียบ กด จนถึงกับเปรียบเปรย…มีลูกสาวเหมือนมีส้วมอยู่หน้าบ้าน พลั้งพลาดประการใดขึ้นมามีแต่เสียกับเสีย แม้แต่กฎหมายของบ้านเมือง “หญิง” ก็เสียเปรียบชายทุกประตู
ดังจะเห็นได้จากการบังคับใช้กฎหมายตั้งแต่ยุค พ.ศ.2400-2499
คำพิพากษาฎีกาที่ 59/2455 ว่า…ชายเข้าปล้ำหญิงบนเรือนหญิงในเวลากลางวัน ได้ชื่อชายกระทำผิด “ฐานทำอนาจารหญิง”
หาใช่ฐาน “พยายามข่มขืนกระทำชำเรา” ไม่
คำพิพากษาฎีกาที่800/2456 ว่า…ชายเข้าไปกอดปล้ำหญิง จับนมหญิงในห้องนอนของหญิงในเวลากลางคืน ยังไม่ถึงกับได้เปลื้องผ้าหญิงหรือเปลือยกายของชาย ตัดสินว่า ชายกระทำผิด “ฐานอนาจาร”
ไม่ใช่ “พยายามข่มขืนชำเรา”
คำพิพากษาฎีกาที่ 193/2474 ว่า…กอดปล้ำหญิง เอามือดึงกางเกงที่หญิงสวมและนั่งคร่อมหญิง เป็นความผิด “ฐานกระทำอนาจาร” คำพิพากษาฎีกาที่ 939/2487 ว่า…ใช้กำลังกายเข้ากอดปล้ำหญิงโดยหญิงไม่ยินยอม เป็นความผิดฐานกระทำอนาจาร
ล่วงผ่านเส้นแบ่งยุค พ.ศ.2400 สู่ พ.ศ.2500 ที่เริ่มใช้ “ประมวลกฎหมายอาญา”
ช่วงต้นๆ ยุค 2500 “คำพิพากษาฎีกา” ยุคก่อนหน้ายังคงมีอิทธิพลทางความคิด
“เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก”!
ตราบใดที่ “อวัยวะเพศชาย” ยังไม่ล่วงล้ำเข้าไปใน “อวัยวะเพศหญิง” ยากที่จะถูกตัดสินว่าผิด “ฐานพยายาม” ข่มขืนกระทำชำเรา
คำพิพากษาฎีกาที่ 1685/2516 ว่า จำเลยแอบเข้ามากอดหญิงผู้เสียหาย ผู้เสียหายร้องขึ้น จึงเอามือปิดปากและกดผู้เสียหายให้นอนลงที่พื้นแล้วขึ้นคร่อม เอาหัวเข่ากดต้นขาไว้ขณะที่ผู้เสียหายนุ่งกระโจมอกและนอนหงาย จำเลยก้มลงกัดแก้ม แล้วถลกผ้าซิ่นขึ้น ผู้เสียหายดิ้นอย่างแรงจนหลุด แล้ววิ่งหนีร้องไห้ลงจากเรือนไป การกระทำของจำเลยยังไม่อยู่ในวิสัยที่จะกระทำชำเราผู้เสียหายได้ จึงไม่เป็นความผิด “ฐานพยายามกระทำชำเรา” คงเป็นความผิด “ฐานอนาจาร” เท่านั้น
ฎีกาที่ 1048/2518 ก็ว่า…การกระทำชำเราตามกฎหมายจะต้องปรากฏว่า ของลับหรืออวัยวะสืบพันธุ์ของชายล่วงล้ำเข้าไปในช่องสังวาสหรืออวัยวะสืบพันธุ์ของหญิง
เกิดเป็น “หญิง” ไม่มีทางสู้!
“หญิง” ผู้เสียหายจำนวนมากจึงไม่อยาก “เป็นความ” ให้อับอายขายหน้าหรือเจ็บช้ำซ้ำสอง
ปีพ.ศ.2528 มีคำพิพากษาฎีกาที่ 2167/2528 เริ่มวินิจฉัยแตกต่างออกไปว่า…ในบันทึกคำร้องทุกข์ของผู้เสียหายมีข้อความว่า จำเลยเข้ากอดปล้ำ ถอดเสื้อผ้า และพยายามข่มขืนกระทำชำเรากับได้ทำร้ายผู้เสียหาย แต่ “พนักงานสอบสวน” บันทึกระบุข้อหาไว้เพียงว่า “กระทำอนาจาร” เท่านั้น ไม่ระบุข้อหาพยายามข่มขืนกระทำชำเราด้วย…ถือว่าผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ในความผิด “ฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเรา” แล้ว
ปี พ.ศ.2555-2557 แนวคิดวินิจฉัยของฎีกาพัฒนาไปถึงขั้นว่า แม้ “ใช้นิ้วมือ” สอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย หรือใช้สิ่งอื่นใด เช่น อวัยวะเพศเทียม กระทำต่ออวัยวะเพศ หรือทวารหนัก หรือช่องปากของผู้เสียหายเพื่อสนองความใคร่ของจำเลยก็เป็น “การกระทำชำเรา” ทั้งสิ้น
ความผิดลักษณะนี้กฎหมายเรียกว่า mala in se หรือ “ความผิดในตัวเอง” หมายความว่า กฎหมายไม่ต้องบัญญัติไว้ ปุถุชนก็รู้ได้ว่าผิดแน่ๆ
การแจ้งความดำเนินคดีอาญา ที่กองปราบปราม ของ “เจ้าหน้าที่ศาลยุติธรรม ปฏิบัติงานรับผิดชอบหน้าบัลลังก์ ประจำศาล…” เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคมที่ผ่านมานั้น นับเป็น “เผือกร้อน” ในมือพนักงานสอบสวน กองปราบปราม
ว่ากันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 2 (2) ผู้ต้องหา หมายถึง “บุคคลผู้ถูกหาว่า” ได้กระทำความผิด แต่ยังไม่ได้ถูกฟ้องต่อศาล
มาตรา 2 (4) ผู้เสียหาย หมายความถึง บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่ง
มาตรา 2 (6) พนักงานสอบสวน หมายถึง เจ้าพนักงานซึ่งกฎหมายให้มีอำนาจและหน้าที่ทำการสอบสวน
มาตรา 2 (7) คำร้องทุกข์ หมายความถึง การที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่า มีผู้กระทำความผิดขึ้น จะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตาม ซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ
คดีผู้บริหารระดับสูงในศาลยุติธรรมถูกกล่าวหา เกิดขึ้นบนขบวนรถไฟตู้นอนชั้น 2 สายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ เหตุเกิดระหว่างสถานีศิลาอาสน์ จ.อุตรดิตถ์ ต่อเนื่องถึงช่วงสถานีเด่นชัย จ.แพร่ นั้น”ผู้เสียหาย” แจ้งความประสงค์ชัดว่า ให้ดำเนินคดีอาญา ซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อ “การดำเนินทางวินัยของตุลาการ”
ผู้เสียหายยังได้นำส่ง “แผนผังที่นอน” บนขบวนรถไฟพร้อมกับคำให้การที่ชวนให้มีการสอบสวน “ขยายความ” เพิ่มเติม เช่นว่า “ดิฉันรู้สึกแปลกใจที่ถูกจัดที่นอนให้นอนตู้นอนชั้น 2 ซึ่งอยู่ติดกับตู้นอนชั้น 1 ของผู้บริหารซึ่งอยู่ท้ายขบวน โดยให้ดิฉันนอนเตียงล่าง ในขณะที่เพื่อนๆ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ถูกจัดให้พักช่วงต้นขบวน…ดิฉันอดคิดไม่ได้ว่า การจัดให้ดิฉันนอนเตียงล่าง น่าจะเป็นการวางแผนกันมาก่อนแล้ว”
คดีนี้ยังคงมี “ตัวการร่วม” หรือ “ผู้สนับสนุน” หรือไม่ เป็นงานของ “พนักงานสอบสวน” ที่ถูกเปรียบว่าเป็น “ต้นธาร” ของกระบวนการยุติธรรม
“กองปราบปราม” จะเป็นที่พึ่งสุดท้ายที่หมายพึ่งได้จริงตามคำขวัญคำคมหรือไม่
สมาคมของตำรวจกำลังเคลื่อนไหวก่อการจะ “ปฏิรูปองค์กร”
สมาคมพนักงานสอบสวนก็กำลังเร่งรัดพัฒนาความเป็น “มืออาชีพ” เรียกร้อง “เงินตอบแทน” ที่สูงขึ้น พร้อมกับ “ความมีอิสระ” ปราศจากการถูกแทรกแซงจากอำนาจอื่นใดที่จะทำให้ “การอำนวยความยุติธรรม” ในชั้นต้นเบี่ยงเบน
สปอตไลต์กำลังจับไปที่กองปราบปราม ซึ่งต้องพิสูจน์ศักยภาพใน “งานยาก”
ที่ว่า “ยาก” มิใช่ว่าเป็นคดีที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนอะไร หากแต่เป็น “งานยาก” สำหรับที่ “คนไม่เท่ากัน”
“บุคคลเสมอภาคกันภายใต้กฎหมาย” เป็นแค่คำหรูๆ ที่หลับสนิทอยู่ในตำรา
สังคมไทยมากไปด้วยความขลาดกลัวต่อระบบอุปถัมภ์ และอำนาจที่ซ่อนอำพรางอยู่ใต้ “หน้ากากยุติธรรม”!?!!!
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022