ผ่าสเปค ‘NEW MG3 HYBRID+’ ขุมพลังเหนือชั้น-วิ่งไกลสุด 800 ก.ม.

สันติ จิรพรพนิต

แม้ในเจเนอเชั่นที่ผ่านมาเก๋งเล็ก “เอ็มจี 3” จะไม่ได้สร้างยอดขาย หรือกระแสหวือหวามากนัก

แต่มาตอนนี้ค่ายเอ็มจี หมายมั่นปั้นมือกับรถรุ่นใหม่อย่างมาก

ด้วยเพราะเป็นโมเดลที่สร้างชื่อมาแล้วทั่วโลก เนื่องจากขุมพลังใหม่ที่ให้ทั้งความแรงและประหยัด

แถมรูปร่างหน้าตาเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

เรียกว่าแทบลืมโมเดลเก่าไปได้เลย เพราะพัฒนาขึ้นในทุกๆ ด้านนั่นเอง

ถือเป็นรถยนต์ไฮบริดเทคโนโลยีใหม่จากเอ็มจี ซึ่งเป็นโกลบอลโมเดลรุ่นที่ 2

รูปทรงแฮทช์แบ็ก 5 ประตู

ดีไซน์ไฟหน้า LED แบบใหม่ Hunter Eye Headlamp ดวงตานักล่า ที่ดูคมชัด และโฉบเฉี่ยว

กระจังหน้าแบบใหม่ ไฟท้ายได้รับแรงบันดาลใจจากปีกผีเสื้อ สะท้อนถึงการเคลื่อนไหวที่คล่องตัว

เส้นสายการออกแบบรอบตัวถังเน้นความโค้งมน

ห้องโดยสารสร้างสรรค์ขึ้นภายใต้ Modular Concept ที่ให้ความสำคัญกับ วัสดุที่มีคุณภาพ พร้อมการออกแบบคอนโซลที่เล่นระดับให้มีมิติ

เพิ่มความหรูหราด้วยภายในแบบทูโทนขาวสลับดำ ตกแต่งเพิ่มเติมด้วยสีเปียโนแบล็ก

เน้นความสะดวกในการใช้สอย สำหรับทั้งคนขับและผู้โดยสาร

พวงมาลัยทรงแปลกตา ไม่กลมดิกเหมือนแต่ก่อน แต่ดูไฮเทคมากขึ้น พร้อมระบบมัลติฟังก์ชั่น

หน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิทัลขนาด 7 นิ้ว

หน้าจอกลางแบบดิจิทัลขนาด 10.25 นิ้ว

เชื่อมต่อมัลติมีเดีย Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย และกุญแจรีโมตอัจฉริยะแบบ Smart Key

เกียร์แบบแป้นทรงกลม หมุนไปมา

ด้วยความมิติตัวถังมีขนาดบิ๊กเบิ้มขึ้น ทำให้พื้นที่เหนือศีรษะ และพื้นที่วางขา มีมากขึ้นในทุกที่นั่ง

ห้องสัมภาระท้ายจุได้มากถึง 293 ลิตร และเมื่อพับเบาะสามารถจุได้มากถึง 1,037 ลิตร

ขุมพลัง HYBRID+ พัฒนาเหนือขึ้นไปอีกขั้น เครื่องยนต์ 1.5 ลิตรที่พัฒนาขึ้นใหม่จาก SAIC MOTOR CORPORATION ให้แรงม้าสูงสุด 102 แรงม้า รองรับน้ำมัน E20 รวมแรงม้าสูงสุด 194 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตัน-เมตร

ทำงานผสานกับมอเตอร์ที่ใช้สร้างกระแสไฟได้สูงสุด 45 กิโลวัตต์

แบตเตอรี่ Lithium-Ion ความจุ 1.83 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง

ขับเคลื่อนด้วยเกียร์ไฟฟ้า EDU 3 ระดับ

อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลาเพียง 8 วินาที

วิ่งไกลสุดถึง 800 กิโลเมตร ต่อน้ำมัน 1 ถัง

ขับเคลื่อนด้วยระบบส่งกำลัง Hybrid Transmission ด้วยเกียร์ไฟฟ้าแบบ E-AT ให้จังหวะการเปลี่ยนเกียร์ที่เหมาะสม ลดเสียงรบกวน และประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น

ปรับโหมดควบคุมการขับขี่ได้ถึง 3 รูปแบบ ได้แก่ โหมด Eco โหมด Standard และโหมด Sport

ทั้งยังมีระบบ KERS เหมือนในรถไฟฟ้า ที่สามารถปรับการใช้งานได้ 3 ระดับ

การขับขี่แบ่งเป็น 8 โหมดการทำงานหลักๆ

เริ่มจาก โหมดจอดหยุดนิ่ง-ระบบจะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่แรงเคลื่อนสูง (HV BATTERY) เพื่อทำให้ระบบปรับอากาศและระบบอื่นๆ ทำงานได้โดยที่เครื่องยนต์หยุดการทำงาน

โหมดวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนจนถึง 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง-เมื่อออกตัวจากจุดหยุดนิ่งในช่วงความเร็ว 0-30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รถจะขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วน (Pure EV)

ให้ความรู้สึกนุ่มนวลและเงียบเหมือนรถไฟฟ้า พร้อมอัตราเร่งที่ตอบสนองได้ทันใจ

โหมดความเร็วที่วิ่งบนถนนที่มีการจราจรหนาแน่น-เมื่อความเร็วเพิ่มขึ้นเป็น 30-50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นช่วงความเร็วต่ำ ใช้งานในเมือง ระบบจะสลับไปยังโหมดระบบขับเคลื่อนแบบอนุกรม (Series Hybrid)

โดยเครื่องยนต์จะทำหน้าที่แค่เพียงปั่นไฟ และส่งกระแสไฟไปให้มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนตัวรถ

ทำให้ได้ความรู้สึกนุ่มนวล ตอบสนองฉับไวแบบรถไฟฟ้า และรถมีความคล่องตัวมากขึ้น

โหมดความเร็ววิ่งในเมือง-เมื่อหากความเร็วไต่ระดับไปที่ 50-80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โหมดระบบขับเคลื่อนแบบอนุกรม (Series Hybrid) ช่วยให้ผู้ขับขี่สัมผัสได้ถึงแรงบิดสูงอย่างต่อเนื่อง

เพราะเครื่องยนต์ยังทำหน้าที่เป็นตัวปั่นไฟช่วยให้มอเตอร์ขับเคลื่อนล้อโดยตรงได้แบบรถไฟฟ้า

พร้อมส่งกระแสไฟส่วนเกินไปเก็บยังแบตเตอรี่แรงเคลื่อนสูง

โหมดความเร็ววิ่งคงที่-เมื่อวิ่งด้วยความเร็วคงที่ในช่วงความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระบบจะสลับเป็นการใช้งานเครื่องยนต์ที่รอบความเร็วต่ำ โดยใช้น้ำมันเชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตัวเครื่องยนต์จะตัดต่อการทำงานผ่าน Hybrid Transmission มี 3 อัตราทดแบบอัตโนมัติ มาขับเคลื่อนที่ตัวล้อโดยตรง

ทำให้สามารถประหยัดน้ำมันได้มากกว่ารถแบบ Series Hybrid ทั่วไป ที่เครื่องยนต์ทำหน้าที่เพียงปั่นไฟอย่างเดียวตลอดเวลา

โหมดวิ่งทางไกล และเร่งแซง-เมื่อรถอยู่ในช่วงเร่งความเร็ว 80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อต้องการเร่งแซง ทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฮบริดจะทำงานร่วมกัน (Parallel Hybrid) อัตราเร่งที่ตอบสนองได้ในทันที

โหมดความเร็วสูง-เมื่อใช้ความเร็วสูงที่ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เครื่องยนต์จะทำงานอย่างต่อเนื่อง โดยขณะที่รถขับเคลื่อนไประบบจะแบ่งกำลังส่วนที่เหลือจากเครื่องยนต์ไปหมุนเจเนอเรเตอร์ เพื่อปั่นไฟไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่

โหมดลดความเร็ว Regenerative – เมื่อผ่อนคันเร่งลดความเร็วลงมาในช่วง 120-0 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือช่วงขับขี่ลงทางชัน ระบบ HYBRID+ จะใช้มอเตอร์เป็นตัวหน่วงกำลัง ซึ่งจะทำหน้าที่ชาร์จไฟเป็นระบบ Energy Regeneration 3 ระดับ

ระบบความปลอดภัยมาตรฐาน ADVANCED SYNCHRONIZED PROTECTION SYSTEM

ครอบคลุมระบบความปลอดภัย ADAS เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุจำนวน 8 ระบบ

พร้อมระบบเบรกอัจฉริยะ (Intelligent Brake System)

กล้องรอบคัน 360 องศา แบบ High Definition ฯลฯ

ส่วนสนนราคาจะเปิดในเดือนสิงหาคม พร้อมรายละเอียดอื่นๆ •

ยานยนต์ สุดสัปดาห์ | สันติ จิรพรพนิต

[email protected]