ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 19 - 25 กรกฎาคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
คนข่าวที่คร่ำหวอดบางคน บรรยายเอาไว้เปี่ยมด้วยสีสันว่า โดนัลด์ ทรัมป์ เฉียดใกล้เข้าไปอยู่ห่างจากความตายเพียงไม่กี่มิลลิเมตร ในเสี้ยววินาทีที่โทมัส แมททิว ครูกส์ เด็กหนุ่มวัย 20 ปี จากเพนซิลเวเนีย ลั่นกระสุนสังหารเข้าใส่
สิ่งที่ช่วยชีวิตทรัมป์ ซึ่งในเวลานี้ได้รับเสียงสนับสนุนท่วมท้นจากที่ประชุมใหญ่พรรคให้เป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันในการลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในปลายปีนี้รอดชีวิต ไม่ใช่ไหวพริบของซีเครต เซอร์วิส หน่วยงานอารักขาบุคคลสำคัญทางการเมืองของสหรัฐอเมริกา หากแต่เป็นการเอี้ยวศีรษะ เพื่อเหลือบมองจอมอนิเตอร์ในช่วงกะพริบตาก่อนกระสุนสังหารจะมาถึง
กระสุนที่เจาะผ่านใบหูข้างขวา กับเลือดที่ไหลลงมาอาบแก้ม คือประจักษ์พยานของความล้มเหลวอย่างเอกอุของหน่วยงานอารักขาลับนี้ พอๆ กับการเสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บอีก 2 รายของชาวบ้านที่มาร่วมฟังการปราศรัย
ซีเครต เซอร์วิสปล่อยให้เหตุการณ์ที่ไม่ควรเกิดเกิดขึ้นได้เช่นนี้ได้อย่างไร ข้อบกพร่อง ผิดพลาดอยู่ตรงไหน ที่ทำให้ครูกส์ถึงกับสามารถขึ้นไปปักหลักบนหลังคาสูง ในจุดที่มองตรงไปยังทรัมป์ ซึ่งยืนอยู่ห่างออกไปเพียง 150 เมตร เพื่อลั่นกระสุนได้
เหล่านี้คือคำถามที่ คิมเบอร์ลีย์ ชีเทิล ผู้อำนวยการซีเครต เซอร์วิส จำเป็นต้องให้คำตอบต่อ ส.ส.อเมริกันทั้งสภาในวันที่ 22 กรกฎาคมนี้ เมื่อเข้าให้ปากคำในการสอบข้อเท็จจริงในสภาผู้แทนราษฎรอเมริกัน นอกเหนือจากที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน สั่งให้ตั้งกรรมการสอบสวนอิสระขึ้นอีกทาง
ก่อนถึงวันนั้น มีข้อบกพร่องที่เห็นได้ชัดเจนสองสามประการเกิดขึ้นในการรักษาความปลอดภัยระหว่างการปราศรัยหาเสียงของทรัมป์ เมื่อ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา
แรกสุดคือ ครูกส์ปีนขึ้นไปปักหลักอยู่บนหลังคาบ้านซึ่งซีเครต เซอร์วิสถือว่าเป็นตัวอาคารที่อยู่ “รอบนอก” นั่นหมายถึงว่า อยู่นอกเหนือความรับผิดชอบของฝ่ายตน แต่เป็นความรับผิดชอบของหน่วยงานรักษากฎหมายในท้องถิ่น
เห็นได้ชัดว่าการคิดเช่นนี้เป็นการคิดขีดกรอบที่เถรตรงเกินไป ไร้เดียงสาและไม่ยืดหยุ่นมากจนเกินไป ลืมพิจารณาความเป็นไปได้ในโลกแห่งความเป็นจริงไปอย่างถนัดใจ
หลังคาบ้านหลังนั้นควรมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่อต้านสไนเปอร์ขึ้นไปประจำอยู่ ไม่ใช่คนร้ายอย่างครูกส์ มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่อยู่ที่นั่นจริง แต่เป็น “ใน” ตัวบ้านไม่ใช่บนหลังคา
ที่สำคัญก็คือ มีผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์พบเห็นการปีนขึ้นไปของครูกส์และแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ก่อนเกิดเหตุอย่างน้อยที่สุด 1 นาทีกับอีก 30 วินาทีเต็มๆ มีรายงานเช่นกันว่าเจ้าหน้าที่รายหนึ่งปีนตามขึ้นไปแต่หลบกลับลงมาเมื่อครูกส์จ่อปืนเข้าใส่
ในวินาทีนั้นเองที่ครูกส์หันปืนในมือเข้าใส่ทรัมป์แล้วลั่นกระสุน
ข้อเท็จจริงที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นข้อสังเกตอีกประการก็คือ วันนั้น ซีเครต เซอร์วิสส่งทีมเคาน์เตอร์-สไนเปอร์ หรือเจ้าหน้าที่ที่ขึ้นไปประจำบนหลังคาพร้อมไรเฟิลแรงสูงเพื่อต่อต้านการซุ่มยิง ไปยังที่ปราศรัยน้อยเกินไป น้อยกว่าที่ควรจะเป็น
บางคนตั้งข้อสังเกตว่า เป็นเพราะวันเดียวกันนั้น สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง จิลล์ ไบเดน เดินทางเยือนพิตส์เบิร์ก จนกำลังคนไม่พอ ซึ่งถูกโฆษกซีเครต เซอร์วิสออกมาปฏิเสธชัดว่าไม่จริง
เช่นเดียวกับที่ปฏิเสธว่า ทรัมป์เคยขอให้เพิ่มการอารักขา และเรื่องการใช้ “มือใหม่” แทน “มืออาชีพ” ในการอารักขา ซึ่งเป็นข่าวลือสะพัดกันอยู่ในเวลานี้
ความจริงประการหนึ่งซึ่งหลายคนในสหรัฐอเมริกาไม่อยากพูดถึงก็คือ ซีเครต เซอร์วิส อันเป็นหน่วยงานที่ก่อตั้งขึ้นในยุคของ อับราฮัม ลินคอล์น ก่อนหน้าที่เจ้าตัวจะถูกลอบสังหารไม่นาน แล้วก็เผชิญกับความล้มเหลวใหญ่น้อยมาตลอดในช่วงกว่า 60 ปีที่ผ่านมา
ลินคอล์นก่อตั้งหน่วยงานนี้ขึ้นมา ไม่ใช่เพื่อการอารักขา แต่เพื่อจัดการกับขบวนการพิมพ์ธนบัตรปลอมที่ระบาดหนักในยุคนั้น จนกระทั่งเกิดการลอบสังหารประธานาธิบดีวิลเลียม แมคคินลีย์ ในปี 1901 ซีเครต เซอร์วิสจึงกลายเป็นหน่วยงานอารักขาอย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้
ขณะที่กำลังคนของหน่วยเพิ่มจาก 300 เป็น 8,000 นาย งบประมาณเพิ่มจาก 5 ล้านดอลลาร์ เป็นกว่า 3,000 ล้านในปัจจุบัน
คนสำคัญมากมายเสียชีวิตหรือถูกปองร้ายภายใต้การอารักขาของหน่วยงานนี้ ไม่ว่าจะเป็นกรณีของจอห์น เอฟ. เคนเนดี เรื่อยมาจนถึงโรนัลด์ เรแกน ที่ถูกยิงบาดเจ็บสาหัส รวมทั้งในยุคหลังๆ เช่น การยิงเข้าสู่ทำเนียบขาว ขณะที่ประธานาธิบดีบิล คลินตัน อยู่ภายใน หรือการโยนระเบิดมือเข้าใส่จอร์จ ดับเบิลยู. บุช เป็นต้น
ปี 2011 ในยุคของบารัค โอบามา สไนเปอร์ลั่นกระสุนเข้าใส่ทำเนียบขาว กว่าซีเครต เซอร์วิสจะรู้เรื่องก็ในอีก 4 วันให้หลัง ต่อมาในปี 2014 มือมีดพกมีดหราปีนรั้วทำเนียบเข้าไป หลบเจ้าหน้าที่ซีเครต เซอร์วิส แล้วพุ่งตรงเข้าสู่ตัวทำเนียบ
เหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ความล้มเหลวของการอารักขาเกิดขึ้นได้เสมอ ตราบเท่าที่คนร้ายยังมีแรงจูงใจในการสังหารอยู่ต่อไป
แล้วแรงจูงใจอะไรทำให้โทมัส แมททิว ครูกส์ ลงมือในครั้งนี้? คือคำถามที่กองทัพนักข่าวทั่วโลกที่ไปปักหลักอยู่ที่ย่านมิลฟอร์ด ไดรฟ์ ในเมืองเบเทล ปาร์ก เมืองเล็กๆ ห่างจากที่เกิดเหตุไปทางใต้ไม่ถึง 100 กิโลเมตร ต้องการคำตอบอย่างยิ่งเช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่เอฟบีไอที่รับผิดชอบในการสอบสวนกรณีนี้
ครูกส์ใช้ไรเฟิลของผู้เป็นพ่อในการลงมือ ยิงกระสุนออกไปไม่น้อยกว่า 6 นัดก่อนตกเป็นเป้ากระสุนเสียชีวิต
คำตอบที่ได้ ไม่ว่าจะเป็นของคนข่าวหรือเอฟบีไอ มีน้อยจนน่าผิดหวัง
ย่านที่ครูกส์อาศัยอยู่เป็นเมืองเล็กที่สงบเงียบ เขาเคยลงทะเบียนเป็นรีพับลิกันก็จริง แต่ก็เคยบริจาคเงิน 15 ดอลลาร์ให้กับองค์กรที่เป็นเสรีนิยมในแนวทางของเดโมแครต ไม่มีร่องรอยเค้าเงื่อนในโซเชียลมีเดีย เพื่อนบ้านน้อยคนที่จะรู้จักหรือใส่ใจ
แจ็ก อัลเลน นายกเทศมนตรีเบเทล ปาร์ก ระบุว่า ชาวเมือง 33,000 คนแทบจะเป็นรีพับลิกันกับเดโมแครตครึ่งต่อครึ่ง
แต่ความต่างทางการเมืองไม่เคยเป็นประเด็นสำคัญในเมืองนี้มาก่อน ทุกคนทำงานร่วมกันด้วยดี เป็นเมืองเล็กย่านชานเมืองที่ไม่น่าจะก่อให้เกิดอะไรขึ้นได้ บางคนระบุเช่นนั้น บางทีคำตอบอาจอยู่ที่ไหนสักแห่ง
ในรายงานล่าสุดขององค์กรรณรงค์ต่อต้านความรุนแรงจากอาวุธปืนอย่าง Gun Violence Archive ที่ระบุว่า เฉพาะในปีนี้ ในสหรัฐอเมริกาเกิดเหตุกราดยิงน้อยใหญ่ขึ้นแล้ว 298 ครั้ง 4 ครั้งในจำนวนนี้เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ลอบสังหารทรัมป์
โทรศัพท์มือถือของครูกส์ ที่อยู่ในมือของเอฟบีไอในเวลานี้ อาจเปิดเผยแรงจูงใจของเขาออกมาก็เป็นได้
ไม่เช่นนั้นเรื่องนี้ก็อาจไม่มีใครได้ล่วงรู้ได้อีกตลอดกาล
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022