เดชะพระบารมี

ธงทอง จันทรางศุ

หลังลับแลมีอรุณรุ่ง | ธงทอง จันทรางศุ

 

เดชะพระบารมี

 

สัปดาห์นี้จะเรียกว่าเป็นสัปดาห์แห่งการเฉลิมฉลองโอกาสพิเศษของประเทศไทยก็เห็นจะได้

เพราะในวันที่ 28 กรกฎาคมนี้ เป็นวาระมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบหกรอบของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

นอกจากการจัดงานพระราชพิธีส่วนของหลวงแล้ว รัฐบาลตลอดถึงประชาชนต่างจัดงานเฉลิมพระเกียรติและมีกิจกรรมนานาชนิดเพื่อร่วมเฉลิมฉลองในโอกาสสำคัญครั้งนี้

ในฐานะผู้อยู่ในประเทศนี้มามานานปีคนหนึ่ง ผมคิดว่าครั้งนี้สมควรเป็นโอกาสที่ผมจะได้ทบทวนความทรงจำเล็กๆ น้อยๆ ของผมเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่าเมื่อนึกถึงพระองค์ท่าน นอกจากพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจที่เป็นทางราชการแล้ว ในส่วนตัวของผมมีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับท่านบ้าง

แม้จะเล่าได้ไม่ครบทุกเรื่อง เพราะข้อจำกัดในเรื่องความทรงจำบ้างและพื้นที่บนหน้ากระดาษแห่งนี้บ้าง แต่ผมเชื่อว่าคงไม่เสียหลายที่จะบันทึกไว้นะครับ

 

วาระแรกที่ผมมีโอกาสเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทท่านในฐานะประชาชนคนหนึ่ง จำได้แม่นยำว่าเป็นวันประวัติศาสตร์ของประเทศไทย นั่นคือวันที่ 28 ธันวาคม พุทธศักราช 2515 ซึ่งเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแผ่นดินก่อนทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมสถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ ขึ้นทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร

โดยมีการพระราชพิธีสำคัญครั้งนั้นที่พระที่นั่งอนันตสมาคม และมีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ให้ผู้คนได้ชมพระบารมีพร้อมกันทั่วทั้งประเทศ

แน่นอนว่าผมซึ่งเวลานั้นอายุ 17 ปี และมีวี่แววว่าเป็นคนสนใจในเรื่องทำนองนี้อยู่แล้วจะพลาดจากรายการนี้ไปไม่ได้

จำได้แน่ว่าเหตุการณ์สำคัญครั้งนั้นเกิดขึ้นในเวลาสาย ก่อนเที่ยง

ประกาศพระบรมราชโองการที่อาลักษณ์อ่านในมหาสมาคมวันนั้น มีเนื้อความไม่ยืดยาว แต่ตรงไปตรงมา ไพเราะและจับใจคนฟังอย่างผมเป็นอย่างยิ่ง

มาถึงวันนี้ผมย้อนกลับไปค้นดูพระบรมราชโองการดังกล่าวในสารบบราชกิจจานุเบกษา อ่านใหม่อีกครั้งก็ยังเห็นว่าเป็นภาษาที่สวยงามเหมือนเดิม

จึงขออนุญาตนำมาทบทวนแบ่งปันเพียงแค่สักสองย่อหน้านะครับ

ย่อหน้าต้นทีเดียวเป็นพระราชปรารภถึงเหตุที่ทรงสถาปนาพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ขึ้นทรงดำรงตำแหน่งพระรัชทายาทในครั้งนั้น

เนื้อความมีดังนี้ครับ

 

“ได้ทรงพระอนุสรณ์คำนึงถึงเหตุการณ์บ้านเมืองอันเป็นมาตลอดจนปัจจุบัน ทรงพระราชวิจารณ์เทียบเคียงความเป็นไปในสกสมัยและปรสมัยในทางนิยมแห่งประชาชนพลเมืองเหล่าต่างๆ หลายแบบหลายเหล่าโดยถ้วนถี่ ทรงพระราชดำริเป็นแน่วแน่ในพระราชหฤทัยว่า ฉันใดเป็นความผาสุก จะยังให้เกิดความสมบูรณ์ยิ่งแก่พลเมืองหมู่ใหญ่ ฉันใดจะส่งเสริมธรรมจริยานุวัตรอันควรจะยึดถือเป็นหลักสืบไป ฉะนั้นจักทรงพระอุตสาหะปฏิบัติบรรหารให้เรียบร้อยเป็นยุติธรรม และให้เป็นที่ตั้งแห่งความสามัคคีทั่วหน้า”

ต่อจากนั้นย่อหน้าที่สอง ดำเนินความในพระราชปรารภต่อไปว่า

“…ในกาลปัจจุบันนี้ประชาชนทั้งหลายตลอดทั้งชาวต่างประเทศทั่วไปในโลก ย่อมพากันนิยมยกย่องว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ ทรงอยู่ในฐานะที่จะรับราชสมบัติปกครองราชอาณาจักรสืบสนองพระองค์ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์นั้นเล่าก็ทรงพระเจริญพระชนมายุบรรลุนิติภาวะ ทรงพระวีรยภาพและพระสติปัญญาสามารถที่จะรับภาระของแผ่นดินตามพระอิสริยศักดิ์ได้ ถึงสมัยที่จะสถาปนาเป็นองค์รัชทายาท ควรจะทรงอนุวัตรให้เป็นไปตามธรรมนิยมและขัตติยราชประเพณี ตามความเห็นชอบเห็นดีของมหาชนและผู้บริหารประเทศทุกฝ่าย เฉลิมพระเกียรติยศขึ้นให้สมบูรณ์ตามตำแหน่งทุกประการ…”

ผู้ที่อยากอ่านฉบับเต็ม ลองไปสืบค้นดูนะครับ หาอ่านได้ไม่ยากเลย

 

ผมอยากจะเล่าต่อไปว่า เมื่อดูรายการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ตอนสายวันนั้นแล้ว ผมทราบข่าวคราวว่าเวลาบ่าย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารทรงได้รับพระราชทานสถาปนาเฉลิมพระนามาภิไธยใหม่จะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม

รู้อย่างนี้แล้วใจก็สั่งการให้ขาก้าวเดินออกจากบ้าน เพื่อไปรอเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทอยู่ในบริเวณลานวัดพระแก้วร่วมกับประชาชนอีกจำนวนมากที่ประชุมกันแน่นลานวัดไปหมด

และแล้วเมื่อถึงเวลาเสด็จพระราชดำเนิน ผมก็ได้เฝ้าชมพระบารมีเจ้านายทุกพระองค์

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ทรงฉลองพระองค์เต็มยศชุดทหารเรือ สอดสายสะพายมหาจักรีบรมราชวงศ์สีเหลืองสุกสว่าง ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับพสกนิกรทั้งหลายตลอดเส้นทางลาดพระบาท

ผู้คนทั้งหลายมีใบหน้าแช่มชื่นไปด้วยความปีติยินดีทั่วถึงกัน ด้วยกล้องถ่ายรูปปัญญาอ่อนของผม ผมได้บันทึกเหตุการณ์และวินาทีแห่งความตื่นเต้นในครั้งนั้นไว้สามสี่ภาพ โดยไม่มีเจ้าหน้าที่ห้ามปรามแต่ประการใด

ภาพชุดนี้จะเรียกว่าเป็นจดหมายเหตุของประชาชนคนหนึ่งก็ว่าได้ เพียงแต่ว่าเช้าขณะที่เขียนหนังสืออยู่นี้ ยังหาไม่พบครับ

ทั้งหนังสือทั้งภาพถ่ายทั้งหลายบ้านผมล้วนแต่เป็นหนังสือหายากและภาพถ่ายหายากทั้งสิ้น เพราะหาไม่พบสักที รู้แต่ว่ามีอยู่แน่ในบ้านนี่แหละ

 

กลับถึงบ้านค่ำวันนั้นแล้วจึงรู้ข่าวใหญ่อีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นในวันเดียวกันตั้งแต่ตอนสาย ขณะมีพระราชพิธีอยู่ในพระราชวังของเรา ว่ามีกองกำลังก่อการร้ายระดับสากลที่เรียกตัวเองว่า Black September ได้เข้ายึดสถานทูตอิสราเอลประจำประเทศไทยที่ถนนหลังสวน ใกล้กันกับโรงเรียนมาแตร์เดอี และมีข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลอิสราเอลเพื่อขอให้ปล่อยนักโทษชาวปาเลสไตน์ที่ถูกควบคุมตัวอยู่ทางโน้น มิเช่นนั้นจะทำร้ายคณะทูตอิสราเอลที่อยู่ในเมืองไทย

ทั้งนี้ สมควรกล่าวด้วยว่า ก่อนหน้านั้นประมาณหนึ่งปี ในขณะที่มีการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกอยู่ในประเทศเยอรมนี กองกำลังก่อการร้ายชื่อเดียวกันนี้ได้เข้าไปจับกุมนักกีฬาชาวอิสราเอลและฆ่าตัวประกันเหล่านั้นเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เหตุการณ์เป็นที่อกสั่นขวัญแขวนของคนทั้งโลก

เมื่อมาเกิดเหตุเรื่องนี้ซ้ำขึ้นอีกครั้งหนึ่งในเมืองไทยของเราในเวลาที่ห่างกันไม่นานนัก เรื่องจึงเป็นข่าวใหญ่และเป็นที่จับตาจ้องมองของชาวโลกอย่างแน่นอน เพราะต่างพากันหวาดเกรงว่าจะเกิดเหตุซ้ำขึ้นอีกครั้งหนึ่งในประเทศไทย

ในยุคสมัยนั้นข่าวสารบ้านเมืองไม่ได้รวดเร็วทันอกทันใจเท่ากับทุกวันนี้ ดังนั้น กว่าที่ผมจะทราบเรื่องสำคัญและเป็นการทราบอย่างเป็นประชาชนคนหนึ่งก็ตกหัวค่ำเข้าไปแล้ว

คราวนี้ก็ลุ้นกันสิครับว่า เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป

 

คณะเจรจาของรัฐบาลฝ่ายไทย ซึ่งถ้าผมจำไม่ผิดดูเหมือนจะมี พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ที่เวลานั้นดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมอยู่ในคณะด้วย ได้เจรจากับคณะก่อการร้ายว่า น่าเสียใจเหลือเกินที่เกิดเหตุอย่างนี้ขึ้นในวันที่เป็นวันมหามงคลของคนไทย เพราะเป็นวันที่มีการสถาปนาพระรัชทายาทของเรา ถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรมัวหมองขึ้นมากกว่านี้ จะไม่เป็นการดีเลยสำหรับทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับฝ่ายปาเลสไตน์ซึ่งไม่เคยมีอะไรขัดใจกันกับคนไทยเลย

การเจรจาใช้เวลาอยู่นานจนดึกดื่นแต่น่ายินดีในที่สุดแล้วก็ตกลงกันได้ ว่ากลุ่มก่อการร้ายจะเดินทางออกจากประเทศไทยไปยังประเทศปลายทางที่เขาระบุ โดยรัฐบาลไทยรับรองความปลอดภัย และเหตุการณ์ก็เป็นไปตามที่ตกลงกันนั้นทุกประการ

ลองนึกดูว่า ถ้าในเหตุการณ์วิกฤตวันนั้น ฝ่ายไทยเราไม่มีข้ออ้างในเรื่องวันมหามงคลของเรา เราจะมีเหตุผลใดบ้างหนอที่จะยกขึ้นอธิบายกับกลุ่มก่อการร้ายดังกล่าวได้ และเหตุผลที่ยกขึ้นนี้ก็เป็นเหตุผลที่แท้จริงและมีความสำคัญยิ่งยวดต่อความรู้สึกของคนไทยทั้งหลายแน่นอน

ในวันที่เป็นวันพิเศษ มีความหมาย มีความเป็นมงคลยิ่งสำหรับเรา ถ้ามีเหตุการณ์ใดมาทำให้หม่นมัวไปเสีย คนไทยจะรู้สึกอย่างไรเห็นจะพอเดากันได้

 

เมื่อเหตุการณ์ที่โลกทั้งใบจับตามองได้คลี่คลายลงด้วยความเรียบร้อย โดยไม่มีผู้ใดเสียชีวิตอย่างน่าอัศจรรย์ รัฐบาลอิสราเอลก็มีความพอใจ ฝ่ายผู้ก่อการร้ายก็ได้รับการปฏิบัติต้องตรงตามสัญญาถ้อยคำที่ให้กันไว้ รัฐบาลไทยก็ถอนหายใจโล่งอก

ทั้งหมดนี้เป็นไปได้ ด้วยคำอธิบายของคนโบราณอย่างผมว่า เป็นด้วย “เดชะพระบารมี” เป็นเครื่องอุดหนุนอย่างสำคัญ

เวลานั้นผมเป็นเด็กน้อยเต็มที ต่อมาจึงได้ทราบในภายหลังว่า ระหว่างเกิดเหตุการณ์ที่มีความยาวหลายชั่วโมงขึ้นนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแผ่นดินก่อน และพระราชวงศ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้ทรงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพระราชทานกำลังใจกับผู้ปฏิบัติหน้าที่ในทุกระดับ เพื่อให้มีทั้งสติและปัญญาในการแก้ปัญหาสำคัญระดับโลกให้ผ่านพ้นไปได้โดยสวัสดี

จากวันนั้นมาจนถึงวันนี้ นาฬิกาเดินผ่านไป 50 กว่าปีแล้ว ผู้คนที่ทันรู้เห็นและทรงจำเหตุการณ์นั้นได้เหลือน้อยลงไปมาก สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ที่เพิ่งทรงได้รับพระราชทานสถาปนาพระราชอิสริยยศในวันนั้น บัดนี้สถิตอยู่ในฐานะเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐของชาวเรา

พระบารมีที่ปรากฏกับชาวโลกเมื่อ 50 ปีก่อน ยังไม่จืดจางห่างหาย แต่ยังปรากฏชัดและมีแต่จะเพิ่มพูนขึ้นตามวันเวลาที่เป็นไปในรัชกาล

ในวาระสำคัญอันเป็นมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาหกรอบครั้งนี้ ในฐานะพสกนิกรคนหนึ่ง ที่ได้เคยไปเฝ้าชมพระบารมีอยู่ที่วัดพระแก้วเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พุทธศักราช 2515 ขอพระราชทานกราบถวายบังคมมาแทบพระบรมบาทยุคล

ขอได้ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน