ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 19 - 25 กรกฎาคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | เมนูข้อมูล |
เผยแพร่ |
เมนูข้อมูล | นายดาต้า
‘แก้หนี้’ ให้ได้อย่างที่สั่ง
รัฐบาลเริ่มปฏิบัติการแก้ปัญหาหนี้ประชาชนอย่างจริงจัง
ในการประชุมหารือประเด็นเศรษฐกิจที่นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน นั่งหัวโต๊ะเป็นประธานล่าสุด นายพิชัย ชุณหวชิร แถลงโดยเริ่มจากการยอมรับว่า เศรษฐกิจวันนี้ค่อนข้างจะตกต่ำ และสัญญาณการฟื้นตัวไม่ชัดเจนนัก
“ปัญหาที่หนักอกที่สุดและใหญ่ที่สุดคือ หนี้ครัวเรือนและหนี้ของธุรกิจขนาดย่อม ส่วนหนี้รัฐนั้น เราพูดเป็นเรื่องที่ 3 แต่เรื่องที่สำคัญที่สุดคือ หนี้ประชาชน ถ้าแก้ได้แล้ว แม้ว่าหนี้รัฐจะเพิ่มอีกหน่อย ก็รับได้ อันนั้นคือสิ่งที่เรามอง วันนี้เราจึงเน้นในหลายๆ เรื่อง ที่จะทำให้หนี้ประชาชนลงให้ได้”
รองนายกรัฐมนตรีกล่าว
หากย้อนไปดูสภาวะหนี้สินของคนไทย ธนาคารแห่งประเทศไทยเคยให้ภาพรวมตัวเลขจากธนาคารพาณิชย์ในไตรมาสแรก ปี 2567 ว่ากลับมาขยายตัว 0.7% เอ็นพีแอลโดยรวมของธนาคารพาณิชย์อยู่ที่ 5.02 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 2.74% เพิ่มขึ้นต่อเนื่องราว 9,800 ล้านบาท
หนี้เสีย สินเชื่ออุปโภคบริโภค หรือสินเชื่อรายย่อย ทั้งสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ สินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล พบว่าปรับเพิ่มขึ้นทุกสินเชื่อ โดยรถยนต์อยู่ที่ 2.14% จาก 2.13% สินเชื่อบัตรเครดิต 4.13% สินเชื่อบ้านอยู่ที่ 3.49% ขยับจาก 3.34% และสินเชื่อส่วนบุคคลอยู่ที่ 2.54% จาก 2.48%
ในแวดวงผู้ติดตามตัวเลขสถานะทางการเงินของประเทศต่างรู้กันดีว่า “หนี้ของคนไทย” ยังมีมากกว่านี้ หากรวมเอา “หนี้นอกระบบ” ซึ่งเป็นฐานใหญ่แต่ไม่มีข้อมูลอย่างเป็นทางการเข้าไปด้วย
ยิ่งในสถานการณ์ข้าวของแพง ค่าแรงคงที่หรือลดลงอย่างที่บ่นกันไปทั่ว การขยายตัวของหนี้น่าจะต้องเพิ่มขึ้นด้วยแรงหาทางดิ้นรนเพื่ออยู่รอดของประชาชนที่พึ่งพาตัวเองไม่ไหว
จึงเป็นเรื่องน่าดีใจที่รัฐบาลเริ่มลงมืออย่างจริงจังที่จะออกมาตรการมาดูแลหาทางแก้ปัญหานี้ให้ประชาชน
รองนายกฯ พิชัยขยายความว่า “วันนี้มีหนี้สินประชาชนกว่า 13.6 ล้านล้านบาท และมีหนี้เสียกว่า 1 ล้านล้านบาท แต่ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมามีสัญญาณว่าจะเพิ่มขึ้น โดยหนี้ SM (หนี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ) ทำท่าจะเพิ่มขึ้นอีก”
ในส่วนของหนี้บ้าน นายกฯ เศรษฐาได้สั่งการว่าให้ดูการจัดการของธนาคารอาคารสงเคราะห์ที่ลดดอกเบี้ยและยืนเวลาชำระหนี้ให้ลูกหนี้ที่เป็นหนี้เสีย 80,000 ราย หากได้ผลคือกลับมาผ่อนชำระได้ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยนำไปขยายผลกับหนี้บ้านของธนาคารพาณิชย์
ในส่วนของ “หนี้รถ” ให้เน้นไปที่รถกระบะและมอเตอร์ไซค์ที่เป็นรถทำมาหากินก่อน โดยรวบรวมจำนวนผู้ผิดนัดชำระก่อนไปหารือกับบริษัทที่ยึดรถเพื่อกำหนดแนวทางแก้ปัญหา
“หนี้บัตรเครดิต” ซึ่งมีหนี้เสีย 1.1 ล้านใบ จากทั้งหมด 24 ล้านใบ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.3-1.4 ล้านใบในไม่ช้า ให้ใช้แนวทางคลินิกแก้หนี้ ที่มีบริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) หรือ SAM เป็นคนกลาง โดยขอให้ ธปท.ไปพิจารณาว่าจะปรับลดอัตราการจ่ายขั้นต่ำ (Minimum Payment) จากปัจจุบัน 8% เหลือ 5% ได้หรือไม่ ซึ่งผู้แทน ธปท.รับว่าจะรับเรื่องนี้ไปพิจารณาโดยด่วน
สำหรับ “หนี้ กยส.” หลังจาก พ.ร.บ.กยศ.ฉบับใหม่ มีผลบังคับให้ กยศ.คำนวณอัตราดอกเบี้ยและอัตราเบี้ยปรับตามกฎหมายใหม่ พบว่ามีจำนวนเงินที่ กยศ.จะต้องคืนเงินให้แก่ผู้กู้ 2.8 ล้านคน ซึ่งจ่ายเงินเกิน จากถูกคิดเบี้ยปรับในอัตรา 18% ต่อปี และคิดอัตราดอกเบี้ยในอัตรา 7.5% ต่อปี ซึ่งรวมแล้วเป็นจำนวนเงิน 5.6 หมื่นล้านบาท
โดย กยศ.จะดำเนินการจ่ายเงินที่เก็บเกินให้ผู้กู้เหล่านี้ต่อไป
จากมาตรการดังกล่าวนี้จะเห็นได้ว่า “ทีมบริหารเศรษฐกิจ” ที่มีนายกรัฐมนตรีนั่งหัวโต๊ะเริ่มกำหนดมาตรการ “แก้หนี้” อย่างเป็นระบบในทุกด้าน
แต่กระนั้นก็ตาม ยังมีข้อกังขาจากคนที่ติดตามผลการสั่งการของรัฐบาลอย่างใกล้ชิดว่า
“คำสั่งของนายกรัฐมนตรี” จะได้รับการสนองตอบแค่ไหน โดยเฉพาะที่สั่งไปถึง “ธนาคารแห่งประเทศไทย” ซึ่งที่ผ่านมาสั่งไปหลายเรื่องแบบดูเหมือนการทำความเข้าใจเพื่อให้เกิดความร่วมมืออย่างจริงจัง ยังไม่เกิดขึ้นให้เห็น
ซึ่งน่าสนใจว่าหากยังเป็นเช่นนั้น รัฐบาลจะทำอย่างไรเพื่อให้ “ผลงานเป็นไปตามคำสั่ง”
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022