ดร.เก๊ | นิธิ เอียวศรีวงศ์

นิธิ เอียวศรีวงศ์

หมายเหตุ : เผยแพร่ครั้งแรกในนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ กรกฎาคม 2545

 

ผมต้องขอประทานโทษผู้อ่านก่อนอื่นว่า ผมต้องนำเรื่องส่วนตัวมาเล่าในบทความนี้มาก

ก็ผมอยากจะคุยเรื่องด๊อกเตอร์เก๊นี่ครับและ ดร.เก๊ที่ผมรู้จักดีที่สุดมีอยู่คนเดียวคือตัวผมนี่แหละครับ เก๊ตั้งแต่ยังไม่ได้เป็น ดร.แล้ว เหตุผลที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะอย่างนี้ครับ

ผมสมัครไปเรียนประวัติศาสตร์อินโดนีเซียในระดับปริญญาเอก ที่เลือกอินโดนีเซียก็เพราะในสมัยนั้นยังหลงผิดอยู่ว่า จะให้ฝรั่งมังค่ามาสอนประวัติศาสตร์ไทยแก่ตัวไม่ได้ แล้วผมก็ชอบอินโดนีเซียเพราะเห็นในภาพนิตยสารฝรั่งว่าเป็นประเทศที่สวยดี

ครับ เป็นเหตุผลที่เฮงซวยทั้งสองอย่างเลย แต่มหาวิทยาลัยเขาคงไม่รู้เหตุผลที่เฮงซวยของผม เขาจึงรับผมไปเรียนต่อ

ผมรู้สึกตัวว่าเริ่มเก๊ตอนที่จะทำวิทยานิพนธ์ ผมบอกนายเงินที่ส่งผมไปเรียนว่า ผมขอไปอยู่อินโดนีเซียสักปีครึ่งถึงสองปีเพื่อค้นคว้าทำวิจัย เขาตอบกลับมาว่าคุณไปได้แค่ 6 เดือน ถึงผมจะต่อรองอย่างไรเขาก็ยืนยันแค่ 6 เดือน เขามีเงินจะลงทุนกับการศึกษาของผมแค่นี้

6 เดือนจะไปทำอะไรได้ล่ะครับ ผมจึงตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องที่จะทำวิจัยใหม่ หาเรื่องที่สามารถทำในอเมริกาได้สบายๆ แล้วไม่เคยได้เหยียบประเทศอินโดนีเซียเลยสืบมาจนถึงทุกวันนี้ ผมมาเข้าใจได้ว่า ที่เพื่อนอเมริกันของผมหาทุนไปทำวิจัยได้เป็นปีๆ นั้น ก็เพราะเขาเป็นอเมริกัน ทุนฝรั่งที่ให้คนไทยไปเล่าเรียนเมืองฝรั่งนั้น เขาไม่ได้คิดจะลงทุนที่สติปัญญาของผู้เรียนเท่าไรนัก จุดมุ่งหมายสำคัญคือเขาต้องการจะตีตรา “เมด อิน ยูเอสเอ” ที่หลังของชนชั้นนำในประเทศโลกที่สามเท่านั้น

ฉะนั้น ใครที่ไปเรียนนอกด้วยทุนฝรั่งแล้วกลับมายังเก่งได้อยู่นั้น ผมออกจะนับถือ เพราะอุตส่าห์เก่งโดยไม่มีใครเขาตั้งใจให้เก่ง

ส่วนวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของผมนั้น สารภาพเลยว่าปั่นๆ ให้จบไปโดยเร็ว หลังจากเที่ยวเล่นเสียปีกว่าโดยไม่ทำอะไร ในทรรศนะของผมไม่มีคุณภาพอะไรอยู่ในนั้นเอาเลย ถ้าทำได้ก็อยากจะฝังร่วมลงไปกับกากนิวเคลียร์จากโรงไฟฟ้าต่างๆ เสียให้สิ้นซาก

เก๊ไหมครับ ดร.ของผมนั้นเก๊ตั้งแต่ยังไม่ได้

ผมกลับมาถึงเมืองไทย แล้วก็พบความจริงต่อมาว่า เป็นการยากมากที่จะสืบต่อการศึกษาเกี่ยวกับอินโดนีเซียของผม ไม่ว่าจะเป็นเอกสารที่พึงติดตาม หรือการสร้างเส้นสายเพื่อการศึกษาวิจัยในอินโดนีเซีย ผมทนรับวารสารวิชาการที่มีชื่อเกี่ยวกับอินโดนีเซียได้หนึ่งฉบับอยู่สองปี แล้วก็ต้องเลิกไปเพราะเงินเดือนไม่พอจ่าย

แต่ความเป็นนักประวัติศาสตร์อินโดนีเซียก็ยังติดอยู่ในด๊อกเตอร์ของผม หลังจาก 5 ปีผ่านไป ผมไม่อยากบอกใครด้วยซ้ำว่า ผมถูกฝึกให้เป็นนักเรียนประวัติศาสตร์อินโดนีเซีย กลัวเขาถามอะไรเกี่ยวกับอินโดนีเซียน่ะครับ

อาจกล่าวได้ว่า ทั่วภูมิภาคอุษาคเนย์ อินโดนีเซียเป็นสนามที่มีผู้ลงไปศึกษามากที่สุด ฉะนั้น มีความรู้ใหม่ๆ ที่ถูกผลิตขึ้นเกี่ยวกับอินโดนีเซียจำนวนมากในแต่ละวัน-เดือน-ปี คุณวุฒิที่แท้จริงของผมเกี่ยวกับอินโดนีเซียในปัจจุบันจึงเท่ากันกับผู้อ่านมติชนเป็นประจำทั่วๆ ไปนั่นแหละครับ เพียงแต่ผมออกเสียงชื่อเมืองและชื่อบุคคลได้ถูกต้องกว่าเท่านั้น

แต่ผมก็ยังเป็น ดร.อยู่นะครับ ดร.จริงของ ก.พ. แต่ ดร.เก๊ในทางวิชาความรู้ (นัยก็คือมาตรฐานของ ก.พ. และมาตรฐานของวิชาความรู้เป็นคนละมาตรฐานกันครับ)

พูดภาษาอินโดนีเซียก็ไม่ได้แล้ว แม้แต่อ่านก็เหมือนเด็กหัดอ่าน ส่วนภาษาดัตช์นั้นเลิกพูดกันเลย ไม่เหลือแม้แต่กลิ่นสาบ

ความรู้เก่าก็มลายหายสูญ ความรู้ใหม่ก็ไม่ได้เก็บเกี่ยว แต่ไม่ยักเคยมีใครมาตั้งข้อสงสัยด๊อกเตอร์ของผมสักที

ปรากฏการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นโดดๆ กับผมคนเดียว หรือเกิดกับคนอื่นด้วย ? ผมเชื่อ (ซึ่ง ก.พ. อาจบอกว่าผมผิดก็ได้) ว่าเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดแก่ด๊อกเตอร์โดยทั่วไป เพื่อนด๊อกเตอร์ทางวิทยาศาสตร์ของผมหลังจากกลับมาถึงเมืองไทยแล้ว ไม่เคยได้เข้าห้องแล็บอีกเลย นอกจากเข้าไปควบคุมแล็บนักศึกษา

ผมยอมรับนะครับว่า ด๊อกเตอร์ที่ติดตามงานวิชาการรวมทั้งทำวิจัยสืบเนื่องมาอย่างแข็งขันก็มี แต่น้อยมาก น้อยมากแค่ไหน ลองถาม สกว. ดูก็คงจะรู้ว่าเวลาจะหาเมธีวิจัยแต่ละปีนั้น หืดขึ้นคอขนาดไหน จะประมาณออกมาเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ สิบ หรือยี่สิบหรือสามสิบ ผมไม่กล้าประมาณครับ

ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเหมือนผมนี่แหละครับ คือเป็น ดร.เก๊

ที่ผมขุดเอาความเก๊ของตัวเองมาประจานในที่นี้ก็เพราะ ผมไม่เข้าใจว่า ทบวงมหาวิทยาลัยเสียแรงไปวิ่งไล่จับ ดร.เก๊ทำไม เพราะที่จริงแล้วในเมืองไทยมี ดร.เก๊อยู่เต็มไปหมด โดยเฉพาะภายใต้การบังคับบัญชาของทบวงนั่นแหละครับ

ดร.เก๊มีความหมายตื้นเขินเกินไป ถ้าหมายความแต่ว่าถือกระดาษแผ่นที่ ก.พ. ไม่รับรอง เพราะการรับรองของ ก.พ. นั้นหยั่งไปไม่ถึงความแท้ความเทียมของความรู้ บังเอิญผมจบจากมหาวิทยาลัยที่ ก.พ. รับรอง ด๊อกเตอร์ของผมจึงไม่เก๊ ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้มีความรู้อะไรอย่างที่กระดาษแผ่นนั้นระบุไว้

แทนที่จะทุ่มเทความพยายามไปกับการไล่จับ ดร.เก๊ ผมคิดว่าไม่ดีกว่าหรือครับที่จะทุ่มเทความพยายามที่จะวางเงื่อนไข วางบรรยากาศ วางแรงกระตุ้น ฯลฯ เพื่อไม่ให้ด๊อกเตอร์ทั้งหลายกลายเป็น ดร.เก๊ไปในพริบตาที่ได้รับปริญญาเอก

ที่ว่าวางโน่นวางนี่นั้น ต้องรวมถึงวางเกณฑ์การประเมินคนให้แนบเนียนแยบยลและละเอียดอ่อนด้วย เพื่อจะได้ไม่ต้องอาศัยกระดาษแผ่นเดียวซึ่งมักจะเก๊ไว้ประเมินอย่างหยาบๆ

นั่นก็คือ เจาะลึกลงไปกว่ากระดาษ ให้ถึงตัวความรู้ความสามารถของคนจริงๆ แทนที่จะติดอยู่กับความเป็นด๊อกเตอร์ซึ่งกลายเป็นเก๊ได้ง่าย

อย่านึกนะครับว่า ใบปริญญานั้นเป็นเพียงเกียรติยศลมๆ แล้งๆ ซึ่งไร้ความหมาย มหาวิทยาลัยและทบวงมหาวิทยาลัยใช้กระดาษแผ่นนี้เป็นหัวใจในการดำเนินงานของตัว โดยไม่สนใจด้วยว่าเก๊หรือไม่

เช่น กม. มีมติมานานแล้วว่า มหาวิทยาลัยต่างๆ ไม่ควรบรรจุอาจารย์ที่จบปริญญาตรี และไม่อนุมัติให้ตั้งอัตราปริญญาตรีไปนานแล้วด้วย แต่ปริญญาตรีที่เก่งและไม่เก๊นั้นมีอยู่ในเมืองไทยเหมือนกัน และอาจจะมีมากกว่า ดร.เก๊ด้วยซ้ำ ทำไมไม่คิดวิธีประเมินที่แนบเนียนสำหรับวัดความรู้ความสามารถที่แท้จริงของคนขึ้นมาล่ะครับ

ผมยกระเบียบของมหาวิทยาลัยและทบวงฯ ที่ยึดปริญญาบัตรอย่างนี้ได้อีกมาก

เท่าที่ความรู้ผมมีอยู่ ยังนึกไม่ออกเลยว่ามีมหาวิทยาลัยของประเทศอะไรที่ยึดถือปริญญาบัตรอย่างแข็งโป๊กเหมือนมหาวิทยาลัยไทย ที่ไหนๆ เขาก็มีวิธีประเมินความสามารถของคนได้ละเอียดซับซ้อนกว่าใบปริญญาทั้งนั้น

เรื่องนี้นำเรามาสู่มิติทางวัฒนธรรมของปริญญาบัตรไทย

ปริญญาบัตรเป็นสถานภาพทางสังคม และด้วยเหตุดังนั้น ด๊อกเตอร์จึงเป็นสถานภาพสูงสุดในบรรดาสถานภาพทาง “วิชาการ” ด้วยกัน ข้อนี้ไม่สู้ประหลาดอะไรนัก การบรรลุการศึกษาระดับที่เรียกกันว่าสูงที่ไหนๆ ในโลกก็ล้วนเป็นสถานภาพทางสังคมทั้งสิ้น

แต่สถานภาพทางสังคมนั้นแบ่งได้เป็นสองประเภท คือประเภทที่ได้มาจากการบัญญัติ (ascriptive) และจากการทำอะไรเพื่อให้ได้มา

สถานภาพจากการบัญญัติก็เช่น ได้สถานภาพนั้นมาจากกำเนิด หรือจากการที่มีสถาบันอะไรบัญญัติให้เป็นไปตามนั้น เช่น บรรดาศักดิ์สมัยโบราณ หรือปริญญาในสมัยนี้เป็นต้น

วัฒนธรรมราชการไทยนั้นสืบทอดคติการมีสถานภาพประเภทบัญญัติมาแต่อดีต ซ้ำวัฒนธรรมราชการยังค่อนข้างจะครอบงำวัฒนธรรมของสังคมภาคสมัยใหม่ของไทยอยู่มากเสียด้วย

ด้วยเหตุดังนั้น ในสังคมภาคสมัยใหม่ของไทยจึงค่อนข้างระแวงสถานภาพที่ได้มาจากการทำอะไรให้ได้มา เช่น ได้รับเลือกตั้ง (ถ้าหลีกหนีไม่พ้นก็เอาไปผูกกับสถานภาพประเภทบัญญัติ เช่นที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้ ส.ส. ต้องจบปริญญาตรี เป็นต้น) หรือในสมัยหนึ่ง เป็นเจ๊กเป็นจีนแต่ผ่ารวยเอาๆ ก็น่าระแวงสงสัยหรือน่าเหยียดหยามเป็นต้น (เดี๋ยวนี้อาจเลิกระแวงจีนแล้ว แต่คงจะยกความระแวงไปให้ชาวเขาแทน)

ฉะนั้น โดยทางวัฒนธรรมจึงไม่ค่อยมีความพยายามที่จะสร้างระบบประเมินสถานภาพที่ได้มาจากการกระทำเท่าไรนัก ไม่เฉพาะแต่ในมหาวิทยาลัย แม้ในสังคมทั่วไปก็เหมือนกัน เพราะลึกลงไปจริงๆ แล้ว ผมสงสัยว่าคนในวัฒนธรรมราชการ (ทั้งที่อยู่และไม่อยู่ในราชการ) เชื่อมั่นสถานภาพประเภทบัญญัติสูงกว่าสถานภาพประเภททำเอาเอง

และด้วยเหตุดังนั้น จึงต้องฟันฝ่าขวนขวายทุกวิถีทางเพื่อจะได้เป็นด๊อกเตอร์ ถึงจะเก๊ก็ไม่มีใครสนใจอย่างที่กล่าวแล้ว