ทำไม AI ยังไม่แย่งงานนักแปล

จิตต์สุภา ฉินFacebook.com/JitsupaChin

อาชีพล่ามและนักแปลเป็นอาชีพที่มักจะถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างอยู่บ่อยๆ ว่าสุ่มเสี่ยงต่อการถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยีแปลภาษา

เรื่องนี้ถกเถียงกันมายาวนานนับตั้งแต่การมาถึงของ Google Translate ตั้งแต่ตอนที่ยังแปลผิดๆ ถูกๆ จนเทคโนโลยีการแปลด้วยแมชชีนเก่งขึ้นเรื่อยๆ และแปลได้ถูกต้องสละสลวยขึ้นกว่าเดิมมาก

แม้แมชชีนจะแปลได้เก่งขึ้นแต่ก็น่าสนใจที่ตัวเลขการจ้างงานนักแปลภาษาหรือล่ามที่เป็นมนุษย์ไม่ได้น้อยลง กลับเติมโตขึ้นมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ

NPR รายงานว่าตัวเลขการจ้างงานอาชีพนี้ในสหรัฐเพิ่มขึ้น 49.4 เปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่ปี 2008 จนถึง 2018 อันเนื่องมาจากโลกาภิวัตน์ หลังจากปี 2020 เป็นต้นมา ตัวเลขจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของสหรัฐก็รายงานว่าจำนวนคนที่ประกอบอาชีพล่ามและนักแปลเพิ่มขึ้น 11 เปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่ปี 2020 จนถึงปี 2023

ตัวเลขทั้งหมดนี้แปลว่าแม้เราจะมีตัวช่วยการแปลภาษาที่เก่งกาจอย่าง AI แต่นักแปลและล่ามที่เป็นมนุษย์ก็ไม่ได้รับผลกระทบ ตรงกันข้ามกลับเป็นที่ต้องการมากขึ้นโดยแบรนด์และหน่วยงานรัฐบาลต่างๆ ก็ประกาศรับสมัครล่ามและนักแปลมาช่วยเพิ่มขึ้น

 

สาเหตุหลักๆ ที่เทคโนโลยีแมชชีนแปลภาษายังไม่สามารถทดแทนมนุษย์ได้ ก็คือแม้มันจะแปลได้ ‘เก่งขึ้น’ แต่ก็ยังไม่นับว่า ‘เก่งขนาดนั้น’ ทั้งเรื่องของความแม่นยำ ความสม่ำเสมอของรูปแบบภาษาและโทนที่ใช้ในการสื่อสาร เมื่อเทียบกับนักแปลที่เป็นมนุษย์แล้ว แมชชีนยังถือว่าห่างชั้นอยู่มาก

NPR สัมภาษณ์ Luis von Ahn ซีอีโอของ Duolingo แอพพลิเคชั่นเรียนภาษาที่เน้นให้ผู้ใช้งานได้ฝึกทักษะสื่อสารภาษาต่างๆ กับแชตบ็อต โดย von Ahn บอกว่าถึงแม้ Duolingo จะเป็นแอพพ์ที่ใช้แมชชีนมาช่วยสอนภาษา แต่บริษัทเองก็ยังจ้างงานนักแปลที่เป็นมนุษย์มาช่วยตรวจทานคำแปลภาษาต่างๆ ที่อยู่บนแอพพ์ เพื่อให้มั่นใจว่าแมชชีนไม่ได้แปลผิด โดยเฉพาะคำแปลที่ปรากฏอยู่บนปุ่มต่างๆ ที่ผู้ใช้งานจะต้องกด อย่างเช่น ปุ่มที่เขียนว่า “ออก” หรือปุ่มให้กดเพื่อ “ซื้อเลยตอนนี้” จะต้องผ่านการตรวจทานจากมนุษย์ก่อนเสมอ

การแปลภาษาแบบมืออาชีพโดยเฉพาะการแปลเอกสารสำคัญอย่างเช่นเอกสารสัญญาทางธุรกิจหรือเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการทหารและการแพทย์เป็นสิ่งที่จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแมชชีนแปลภาษาเพียงอย่างเดียวไม่ได้เพราะลักษณะงานเช่นนี้ไม่มีพื้นที่ให้สำหรับความผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว

ข้อจำกัดของแมชชีนแปลภาษายังมีอยู่หลายอย่าง ที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องของความถูกต้องของการแปล นอกจากนี้ ก็ยังมีการเลือกใช้คำแปลที่แสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์ การเลือกแปลด้วยคำที่สะท้อนอารมณ์แบบเดียวกับต้นฉบับ การรู้จักอ่านความหมายระหว่างบรรทัด หรือความหมายที่สอดแทรกอยู่ในภาษาต้นทาง รวมถึงการสม่ำเสมอของการเลือกใช้คำในการแปลแต่ละครั้งด้วย

การผิดพลาดครั้งเดียวจากการแปลของแมชชีนอาจจะหมายถึงความเสียหายใหญ่หลวงที่เกิดขึ้นต่อแบรนด์ ตั้งแต่อับอายขายหน้าไปจนถึงถูกฟ้องซึ่งที่ผ่านมาเราก็ได้เห็นเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาแล้วกับบางแบรนด์รวมถึงในไทยเองด้วย

 

ทั้งหมดนี้ไม่ได้แปลว่าแมชชีนแปลภาษาไม่มีประโยชน์เลย อันที่จริงแล้วนักแปลภาษาและล่ามต่างก็หันมาใช้ AI ช่วยเป็นเครื่องไม้เครื่องมือทุ่นแรงในการแปล จากเดิมที่ต้องอ่านเอง ฟังเอง แปลเองทั้งหมด เมื่อมี AI มาช่วยแปลเบื้องต้นให้ก็ช่วยแบ่งเบาไปได้เยอะ

งานไหนไม่ซับซ้อนมากก็ให้ AI แปลเบื้องต้นให้ก่อนแล้วค่อยตรวจทานแก้ไขทีหลัง ทำให้มีเวลาเหลือไปโฟกัสกับงานแปลที่ยากและซับซ้อนขึ้น รับงานได้มากขึ้นโดยอาจจะใช้เวลาเท่าเดิมหรือน้อยลง เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์กับแมชชีนอย่างลงตัว

อันที่จริงแล้วสถานการณ์นี้ก็เข้าข่ายคำโควตที่คนแวดวงเทคโนโลยีใช้กันค่อนข้างจะเกร่อในช่วงหลังๆ มานี้ คือคำโควตที่บอกว่า “AI ไม่ได้มาทดแทนมนุษย์ แต่คนที่ใช้ AI เป็นนี่แหละที่จะมาทดแทนคนที่ใช้ไม่เป็น”

ถึงแม้ว่าอาชีพนักแปลและล่ามจะไม่ได้ถูก AI แย่งงานหรือทดแทนไปโดยสิ้นเชิง แต่เมื่อเทคโนโลยีการแปลได้รับการพัฒนาให้เก่งขึ้นเรื่อยๆ และใช้เป็นวงกว้างมากกว่านี้ ในที่สุดมันก็จะทำให้ค่าตัวในการทำงานแปลบางอย่างของมนุษย์ถูกลงกว่าเดิม เพราะบริการแปลภาษาด้วยแมชชีนส่วนใหญ่สามารถแปลได้ฟรี หรือมีค่าใช้บริการที่ถูกกว่าค่าจ้างมนุษย์มาก

นักแปลที่จะไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์นี้เลยก็คือนักแปลในระดับที่เรียกว่า high-level หรือระดับสูง อย่างเช่น นักแปลหนังสือ หรือนักแปลที่ทำงานในแวดวงที่ต้องการความแม่นยำสูง แปลเอกสารที่มีความซับซ้อนและผิดพลาดไม่ได้ตามตัวอย่างที่ได้เล่าถึงไปแล้ว

 

ตัวฉันเองคิดว่าต่อให้แมชชีนแปลได้เก่งขึ้นแค่ไหนก็จะไม่ทำให้ฉันล้มเลิกความต้องการในการเรียนภาษาใหม่ๆ ไปได้ ฉันใช้ AI ช่วยแปลภาษาอยู่บ่อยๆ ทั้งช่วยเขียนอีเมลหรือช่วยตรวจทานสคริปต์ แต่ทุกครั้งก็จะพยายามเรียนรู้จากภาษาที่ AI ใช้ และพยายามพัฒนาทักษะภาษาของตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ

สิ่งที่ทำให้ฉันลุ่มหลงในการเรียนภาษาใหม่ๆ คือการได้ใช้ภาษานั้นๆ ในการพูดคุยกับผู้คนในที่ต่างๆ เพื่อเรียนรู้และทำความเข้าใจกับวัฒนธรรมและความคิดที่หลากหลาย ซึ่งการแลกเปลี่ยนแบบนี้ทำได้อย่างมีเสน่ห์ที่สุดและไหลลื่นที่สุดก็ต่อเมื่อเราเข้าใจภาษาและพื้นฐานความคิดและความเชื่อที่มาพร้อมกับภาษานั้นๆ ด้วยตัวเราเอง

ถ้าคุณผู้อ่านเป็นหนึ่งในคนที่ประกอบอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการแปลภาษา นี่ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีมากที่เราจะหยิบ AI มาช่วยงาน ช่วยทุ่นแรง ทำให้เราทำงานได้รวดเร็วขึ้น แล้วใช้เวลาที่เหลือไปกับการฝึกทักษะในระดับที่สูงขึ้น ยากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่ว่า AI จะเก่งขึ้นแค่ไหน

มันก็จะไม่เก่งไปกว่ามนุษย์อย่างเราแน่ๆ