ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ กับข้อเสนอแนะแก้ปัญหาชายแดนใต้

บทความพิเศษ | อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)

 

ชัยวัฒน์ สถาอานันท์

กับข้อเสนอแนะแก้ปัญหาชายแดนใต้

 

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตากรุณาปรานีเสมอ ขอความสันติและความจำเริญแด่ศาสนทูตมุฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน

ศ.ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ กลับสู่อ้อมกอดพระเจ้า เมื่อเวลา 10.45 น. ของวันที่ 27 มิถุนายน 2567

28 มิถุนายนมีพิธีฝังร่างตามหลักศาสนาอิสลาม จัดขึ้นอย่างเรียบง่าย ณ มัสยิดฮารูณ ซอยเจริญกรุง 36 เขตบางรัก กทม. โดยมีครอบครัวสถาอานันท์ พร้อมด้วยนักวิชาการ ลูกศิษย์ รวมถึงผู้ที่เคยทำงานร่วมกับ ศ.ชัยวัฒน์ และผู้คนในหลากหลายวงการ เข้าร่วมเคารพร่าง ศ.ชัยวัฒน์ เป็นครั้งสุดท้าย

ไม่นับรวมคำไว้อาลัย/แสดงความเสียใจทั้งในและต่างประเทศ เช่น นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม แห่งมาเลเซีย ที่กล่าวแสดงความเสียใจในการจากไปของ ศ.ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ด้วยเช่นกัน

“ข้าพเจ้าเสียใจอย่างสุดซึ้งกับการจากไปของศาสตราจารย์ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ผู้ทรงคุณวุฒิแห่งสันติภาพและความเข้าใจ ชัยวัฒน์เป็นคณาจารย์ผู้รอบรู้และเป็นที่นับหน้าถือตาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก่อตั้งศูนย์ข้อมูลสันติภาพไทย และอุทิศชีวิตของเขาให้แก่สาเหตุของความรุนแรงและการแก้ไขความขัดแย้งผ่านการพูดคุยและความเห็นอกเห็นใจ คำสอน งานเขียน และความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ต่อความยุติธรรมของพระเจ้า สัมผัสชีวิตของผู้คนนับไม่ถ้วน ก้าวข้ามพรมแดนและเชื่อมความแตกแยก แม้ว่าข้าพเจ้าจะกล่าวคำอำลาต่อจิตวิญญาณอันน่าทึ่งนี้ แต่ก็พบความปลอบประโลมใจในมรดกที่เขาทิ้งไว้เบื้องหลัง”

“ขอให้ความทรงจำของเขาเป็นแรงบันดาลใจให้เราเดินไปตามเส้นทางแห่งสันติภาพ แสวงหาความเข้าใจเมื่อเผชิญกับความยากลำบาก และสร้างโลกที่ความสามัคคีและความเคารพปกครองสูงสุด”

 

ศ.ดร.ชัยวัฒน์ ในสมัยเป็นคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.) ได้เสนอแนะการแก้ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้โดยแทรกอยู่ในรายงาน กอส.บทแรก นั่นคือ “ความเป็นมนุษย์”

บทแรกในรายงาน กอส.ที่ ศ.ดร.ชัยวัฒน์นำเสนอระบุว่า เป็นเรื่องราวของเด็กหญิงอัมมนา และเด็กชายยศธร ที่ควรอ่าน เพราะนี่เป็นการเปิดโอกาสให้หัวใจได้สัมผัสถึงความเจ็บปวดทรมานของเหยื่อที่เป็น “เด็ก” ส่วนอนาคตจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับว่า “คุณ” มองเด็กที่กำลังปวดร้าวกับการสูญเสียเป็นอะไรกันแน่ ถ้าอ่านแล้วมองว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ ก็จงปิดมันเสียเถิด แต่ขอความกรุณาให้นั่งเงียบๆ อย่าวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงก้าวร้าวกับใคร เพราะถ้ามองไม่เห็นความเป็นมนุษย์ในหมวกที่ต่างกันคุณคงมีส่วนช่วยแก้ปัญหาภาคใต้ไม่ได้แล้วล่ะ รังแต่จะทำให้สถานการณ์บานปลายขึ้น

ข้อเสนอนี้ไม่ใช่การทำงานเพื่อหยุดความรุนแรงรายวัน เพราะการคุ้มครองชีวิตของผู้คนพลเมืองเป็นหน้าที่โดยตรงของรัฐบาล

ไม่ใช่งานไล่จับคนร้ายที่กระทำผิดกฎหมาย เพราะนั่นเป็นหน้าที่ของตำรวจ

และไม่ใช่การสืบจับหาให้ได้ว่ามีขบวนการร้ายที่ใช้ความรุนแรงกับผู้คนทั้งที่เป็นมุสลิมและพุทธ ทั้งที่เป็นชาวบ้านสามัญและคนของราชการอยู่หรือไม่ เพราะนั่นเป็นงานของฝ่ายความมั่นคงของรัฐ

คนผิดคนร้ายมีในบ้านเมืองนี้แน่ และควรต้องดำเนินการจับกุมตามกฎหมาย แต่จากข้อมูลของทุกฝ่ายล้วนตรงกันว่า คนเหล่านี้มีจำนวนไม่มากนัก ด้วยเหตุนี้คณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติในฐานะตัวกระตุ้นให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในทางลดความรุนแรงในสังคมไทย สร้างสันติที่ยั่งยืนให้เกิดขึ้น จึงมุ่งทำงานสมานฉันท์กับเป้าหมายสำคัญ 3 อย่าง คือ

หนึ่งมุ่งหาหนทางให้ผู้คนทั้งส่วนใหญ่ที่เป็นมุสลิมและส่วนน้อยที่เป็นพุทธในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย อยู่ในสังคมการเมืองไทยอย่างพลเมืองไทยที่มีความสุขตามสมควร

สองมุ่งหาหนทางให้ผู้คนส่วนใหญ่ในประเทศเข้าใจเหตุอันซับซ้อนซึ่งทำให้เกิดความทุกข์ร้อนของผู้คนในจังหวัดชายแดนภาคใต้

สามมุ่งคิดถึงการสร้างอนาคตที่ผู้คนซึ่งมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ทั้งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้และระหว่างผู้คนในที่นั้นกับสังคมไทยส่วนรวมจะอยู่ด้วยกันอย่างเป็นสุข งานสมานฉันท์จึงเป็นความพยายามจะตอบปัญหาว่า เหตุร้ายเช่นนี้เกิดขึ้นกับบ้านเมืองของเราได้อย่างไร จะลดทอนผ่อนเบาปัญหาที่รุมเร้าอยู่ในตอนใต้ของประเทศด้วยการลดเงื่อนไขแห่งความรุนแรงได้อย่างไร จะสรรค์สร้างสังคมการเมืองไทยอย่างไร เพื่อให้ลูกหลานอย่างยศธรและอัมมนาอยู่กันต่อไปได้อย่างมีกำลังใจ ในฐานะสมาชิกของสังคมไทย ที่สำคัญให้พวกเขาอยู่ด้วยกันได้อย่างมีศักดิ์และสิทธิเสมอกัน และเอื้ออาทรต่อกันในฐานะเป็นพลเมืองของสังคมไทยที่เข้มแข็งร่วมกัน

กอส.ใช้เวลา 1 ปีเต็ม สุดท้าย 16 พฤษภาคม 2549 ก็ได้สรุปรายงาน “เอาชนะความรุนแรงด้วยความสมานฉันท์”

นำเสนอรากเหง้าปัญหาอย่างตรงไปตรงมา พร้อมเสนอแนวทางแก้ปัญหาระยะสั้น ระยะยาว ต่อรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ในขณะนั้น แต่ในช่วงดังกล่าวรัฐบาลเผชิญอยู่กับวิกฤตทางการเมืองรอบด้าน ทั้งการเลือกตั้งที่เป็นโมฆะ การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ จนเกิดการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ส่งผลให้แนวทางการแก้ปัญหาในจังหวัดชายแดนใต้ที่อยู่ในรายงานของ กอส.สะดุดลง

(อ่านรายงานฉบับเต็มใน http://lms.nhrc.or.th/ulib/document/Fulltext/F03228_3.pdf)

 

จาตุรนต์ ฉายแสง ประธาน กมธ.วิสามัญสันติภาพชายแดนใต้ ในฐานะอดีต กอส. บอกว่า ได้นำกรอบคิด และหลักการ ข้อเสนอของ กอส. มาใช้กับบทบาท กมธ.ในปัจจุบัน แม้ว่าหลายๆ บริบทจะแตกต่างกัน อย่างเรื่องการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบ ได้เอาแนวคิด กอส.มาใช้วางหลักเกณฑ์เยียวยาทุกฝ่ายให้เท่าเทียมกัน ไม่เลือกปฏิบัติ ทั้งผู้ต้องสงสัย ผู้ถูกกล่าวหา ผู้บริสุทธิ์ หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐ แต่เมื่อมาดูการเยียวยาในปัจจุบันกลับเป็นที่น่าตกใจ เพราะไม่ทั่วถึง ไม่ครอบคลุม ผู้ได้รับผลกระทบแบบที่เป็นหยื่อความรุนแรงรัฐแก้ไม่ตก ขณะเดียวกัน กอส.ทำการศึกษาในบรรยากาศที่สังคมมองหาการแก้ปัญหาความขัดแย้ง แต่วันนี้ไม่ใช่ เพราะปัญหานี้ไม่อยู่ในกระแสระดับสูง

ในประเด็นความยุติธรรม จาตุรนต์ระบุว่า กอส.มีข้อเสนอเยอะมาก เช่น การสอบสวน การมีทนาย การสู้คดี ต้องเป็นไปตามหลักสากล แต่ก็ค้นพบความจริงว่าในพื้นที่ชายแดนใต้มีกฎหมายพิเศษเต็มไปหมด ที่เป็นตะแกรงคลุม สิทธิเสรีภาพไม่มีทางลอดออกมาได้เลย แล้วจะเรียกร้องความยุติธรรมอย่างไร

ส่วนในเรื่องการมีส่วนร่วมกับภาคประชาสังคม ก็มองว่าบทบาทของภาคประชาสังคมในอดีตเทียบกับปัจจุบันไม่ได้เลย ตอนนี้ภาคประชาสังคมมีเยอะ สามารถนำเสนอข้อมูลการศึกษาได้เป็นอย่างดี

ในเรื่องการศึกษา จาตุรนต์บอกว่า ผ่านไป 20 ปี เรื่องภาษาที่สอดคล้องกับอัตลักษณ์ชายแดนใต้ยังไปไม่ถึงไหน ทั้งที่เป็นข้อเสนอและเคยถูกนำร่องมาแล้วในช่วงที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เคยเปิดศูนย์สอนภาษามลายู ปัจจุบันยังมีสถาบันนี้อยู่แต่ไม่ทำอะไรเลย ขณะเดียวกันการศึกษาในพื้นที่กลับไม่ได้ออกแบบให้สอดคล้องกับความต้องการ”