ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 12 - 18 กรกฎาคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | ยานยนต์ |
ผู้เขียน | สันติ จิรพรพนิต |
เผยแพร่ |
บานปลายขึ้นเรื่อยๆ กับสงครามราคาของกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี จากจีน
เพราะดัมพ์ราคากันแหลกลาญแทบทุกค่าย
พลอยส่งผลกระทบไปยังผู้ประกอบการใกล้เคียง
ที่สำคัญคือความรู้สึกของผู้บริโภค ที่แทบชักตาตั้งเมื่อเห็นราคาเปิดตัวเมื่อปีเศษๆ ที่ผ่านมา กับราคาปัจจุบัน
ห่างกันหลายแสนบาท
และล่าสุดกับค่าย “บีวายดี” เจ้าเก่า เจ้าเดิม ที่เพิ่งทำราคาใหม่ให้กับเก๋งเล็กอย่างดอลฟิน
ครามนี้ถึงคิวของ “ATTO 3” ที่ปรับลดราคาอีกรอบ ตามแคมเปญ ฉลองเปิดโรงงานผลิตรถยนต์ BYD ครั้งแรกในประเทศไทย
จนเหลือราคา 799,990-959,900 บาท
โดยเฉพาะรุ่น Extended Range (MY23) ที่จบราคา 859,900 บาท
ทำให้นับจากเปิดตัวรุ่น Extended Range (MY23) ลดราคาไปมากถึง 340,000 บาท
การเปิดศึกราคารถอีวีอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้ทำเฉพาะค่ายบีวายดีเท่านั้น
แต่แทบทุกค่ายกระโดดลงมาเล่นสงครามราคากันทั้งสิ้น
และยิ่งเมื่อบีวายดีเปิดหัวรอบใหม่ คาดว่าจะมีค่ายอื่นๆ ตามมาด้วย
สาเหตุจากหลายปัจจัยทั้งภายนอก-ภายใน
ภายนอกไม่พ้นสงครามเศรษฐกิจ ระหว่างจีนกับสหรัฐและยุโรป
จนเป็นที่มาของการตั้งกำแพงภาษีรถอีวีจีนอย่างโหด
บวกกับประมาณการผลิตรถยนต์ในจีน ล้นมากกว่าความต้องการจึงต้องระบายสต๊อกเก่าให้เร็วที่สุด
ไม่นับความก้าวหน้าด้านการพัฒนา และลดต้นทุน ทำให้ราคาต่อหน่วยของรถอีวีจีน ลดลงเมื่อเทียบกับเมื่อ 1-2 ปีที่แล้ว
ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศไทย ไม่พ้นปัญหาหนี้ครัวเรือน การปฏิเสธสินเชื่อรถยนต์
จนทำให้ยอดขายลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2567
จากตัวเลขยอดผลิตรถยนต์ของไทยช่วง 5 เดือนแรกปี 2567
ทำได้แค่ 644,951 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนถึง 16.88%
เช่นเดียวกับยอดขายในประเทศ 5 เดือนแรกทำ 260,365 คัน ลดลง 23.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566
อันดับที่ 1 โตโยต้า 97,736 คัน ลดลง 15.7%
อันดับ 2 อีซูซุ 39,183 คัน ลดลง 46.9%
อันดับ 3 ฮอนด้า 37,374 คัน ลดลง 4.3%
ขณะที่ตลาดรถปิกอัพขายได้แค่ 75,510 คัน ลดลงถึง 40.8%
ขณะที่รถอีวี แม้ยอดจดทะเบียน 5 เดือนแรก ยังทำได้ดีที่ 43,921 คัน แต่เติบโตแบบถดถอย และน้อยกว่าที่ประเมินไว้
ด้วยยอดขายที่อืดเป็นเรือเกลือ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหนึ่งที่ทำให้บรรดาค่ายรถอีวีจากจีน ต้องห้ำหั่นราคากันอย่างดุเดือด
เพื่อกระตุ้นยอดขาย และแชร์ส่วนแบ่งการตลาดให้มากที่สุด
รวมถึงยังเตะตัดขาคู่แข่งหน้าใหม่ ที่กำลังทยอยเข้ามา
โดยช่วงครึ่งหลังปี 2567 มีมาอีกอีก 4-5 ราย อาทิ Geely, Riddara, Omoda & Jacoo และ Denza
ไม่เพียงวงการยานยนต์เท่านั้นที่ปั่นป่วนกับสงครามราคา
แต่ยังลามไปถึงบริษัทประกันภัย และลิสซิ่ง
เพราะราคาที่ลดลงมากกว่าตอนเปิดตัวใหม่ๆ หลักแสน หรือหลายแสนบาท
ทำให้การรับประกันภัยรถยนต์ หรือปล่อยสินเชื่อ เกิดความเสี่ยง
เพราะมูลค่ารถยนต์ปรับลงจากวันทำสัญญาก่อนหน้านี้
หากเป็นความเสื่อมราคาจากการใช้งาน หรือระยะเวลาที่ออกรถ
ถือว่าเป็นเรื่องปกติที่บริษัทประกัน และลิสซิ่ง คำนวณไว้ก่อนแล้ว
แต่เพราะการลดราคาอย่างต่อเนื่อง ทำให้โครงสร้างหลายๆ ส่วนพลอยบิดเบี้ยวไปด้วย
สมาคมประกันวินาศภัยไทย ถึงกับต้องปรับโปรแกรมราคามาตรฐานกลางรถยนต์ (TGIA BOOK) กันเป็นรายสัปดาห์
เพราะการลดราคาขายรถใหม่ป้ายแดงลงกว่า 20% ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อทุนประกันภัยรถอีวี
ทำให้บริษัทประกันวินาศภัยที่เป็นผู้รับประกันภัย ต้องปรับลดทุนประกันภัยใหม่ให้สอดคล้องกับราคาอีวี
เนื่องจากราคาค่าซ่อมโดยทั่วไปไม่ได้ลดตาม
ในแง่ของราคาเบี้ยประกันอีวี บางค่ายเริ่มมีการปรับเพิ่มเบี้ย สะท้อนความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
ประเมินกันว่า บริษัทประกันอาจปรับลดทุนประกันรถอีวีใหม่ และคาดว่าทุนประกันต่อไปในอนาคตจะลดลงถึงปีละ 30% ไม่ใช่แค่ 10% ตามมาตรฐาน
เพราะราคารถอีวีปรับลงค่อนข้างบ่อยและมากกว่าที่คาด ทำให้หากทุนประกันรถอีวีแพงกว่าราคามือสอง อาจเกิดฉ้อโกงขึ้นได้
จากการสำรวจพบว่า ปัจจุบันบริษัทประกันมีความระมัดระวังการขายเบี้ยประกันอีวี ไม่แข่งตัดราคา หรือแย่งชิงลูกค้ามากนัก
เช่น บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด และบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด ประกาศชัดว่าลดเป้าหมายการขยายส่วนแบ่งตลาด โดยไม่เข้าร่วมเป็นพันธมิตรทำแคมเปญแถมประกันฟรีให้ลูกค้า “บีวายดี”
เพราะในกรณีการทำแคมเปญร่วมกับค่ายรถ บริษัทประกันจะถูกกดค่าเบี้ย โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ตลาดรถยนต์กำลังซึมยาว เนื่องจากต้องรักษากำไรจากการรับประกันภัย มากกว่าการเป็นเจ้าตลาดประกันรถอีวี
ขณะนี้บริษัทประกันวินาศภัยหลายๆ ค่ายก็ไปในทิศทางนี้
สงครามราคารถอีวีจีน เป็นอีกหนึ่งความปั่นป่วนในวงการรถยนต์เมืองไทย
ที่น่ากังวลคือกลุ่มผู้บริโภค ทั้งกลุ่มที่ “ชีช้ำ” กับการตัดสินใจซื้อไปแล้ว
และที่สำคัญคือกลุ่มที่เตรียมซื้อ จะตัดสินใจอย่างไรเมื่อเห็นการลดราคาลงเรื่อยๆ ของรถอีวีป้ายแดง
งานนี้ ดีลเลอร์หรือตัวแทนขายรถ คงเหนื่อยหนักกับการบริหารความรู้สึกของลูกค้า •
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022