วุฒิสภากับการเปลี่ยนผ่าน : ส.ว.ใหม่-การเมือง(ไม่)ใหม่!

ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข

“ยิ่งรัฐคอร์รัปชั่นมากเท่าใด ก็ยิ่งมีกฎหมายมากเท่านั้น”
Tacitus (นักปราชญ์ชาวโรมัน)

 

หลังจากรัฐประหาร 2557 ของกลุ่มผู้นำทหารขวาจัดแล้ว ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เป็นตัวละครการเมืองที่สำคัญที่ทำหน้าที่เป็นฐานอำนาจหลักในการค้ำประกันความมั่นคงให้แก่รัฐบาลทหารในสภานิติบัญญัติ

และช่วยสร้างภาพเสมือนหนึ่งว่า ระบอบรัฐประหารยังคงมีกระบวนการทางรัฐสภา ทั้งที่ไม่ใช่รัฐสภาจริง เพราะมาจากการรัฐประหาร

ในความเป็นจริงแล้ว รัฐสภาในระบอบทหารเป็นเพียง “สภาตรายาง” และไม่สามารถทำหน้าที่ของสถาบันนิติบัญญัติในการตรวจสอบและถ่วงดุลกับสถาบันฝ่ายบริหารตามหลักการของวิชารัฐศาสตร์ได้เลย

เพราะสภาดังกล่าวเกิดจากการแต่งตั้งของผู้นำรัฐประหาร และถูกควบคุมโดยคณะรัฐประหาร กระบวนการเมืองในภาวะเช่นนี้จึงไม่ใช่กระบวนการทางการเมืองในระบบรัฐสภาที่แท้จริง

 

ระบอบใหม่หลังรัฐประหาร

ในยุคของ “ระบอบพันทาง” (hybrid regime) ที่เกิดการสืบทอดอำนาจของผู้นำรัฐประหารหลังการเลือกตั้ง 2562 มีการแต่งตั้ง ส.ว.ขึ้นเพื่อรองรับอำนาจของผู้นำรัฐประหารในภาวะที่เกิดการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง ฉะนั้น ส.ว.จึงมีบทบาทอย่างสำคัญในการ “ปกป้อง-คุ้มครอง” รัฐบาลพันทาง เพราะอำนาจของผู้นำรัฐประหารในระบอบเปลี่ยนผ่านนั้น ถูกลดทอนจากการเข้ามาของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งไม่ใช่สภาที่ผู้นำทหารจะควบคุมได้ทั้งหมดเช่นในยุคหลังรัฐประหาร

วุฒิสภาจึงมีหน้าที่อีกส่วนในการ “คานอำนาจ” กับ ส.ส.ในสภา และเป็น “อำนาจต่อรอง” ที่สำคัญของฝ่ายทหาร เพราะกฎหมายที่สำคัญจะผ่านไม่ได้เลย โดยปราศจากความเห็นชอบของวุฒิสภา หรือบทบาทของวุฒิสภาหลังการเลือกตั้ง 2566 ก็แสดงออกอย่างชัดเจนในการ “ควบคุมทิศทางการเมือง” ด้วยการใช้อำนาจในการให้ความเห็นชอบต่อนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งในการขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นอำนาจที่ไม่เคยให้แก่วุฒิสภามาก่อน เพราะอาจนำไปสู่ขัดแย้งระหว่างสภาทั้งสองได้ และเท่ากับเป็นการออกแบบเพื่อให้เกิดระบอบพันทางที่เป็นการสืบทอดอำนาจโดยตรง

การมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญ 2560 ที่เกิดจากการร่างของฝ่ายรัฐประหารเช่นนี้ ยังสะท้อนให้เห็นได้ถึงพลังอำนาจของสภาสูงในการเป็นเครื่องมือของการต่อรองทางการเมือง เพื่อที่จะนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลในอนาคต

ดังนั้น เพื่อให้เกิดการคงอยู่ในอำนาจของฝ่ายรัฐประหารต่อไป รัฐธรรมนูญนี้จึงทำให้อายุตามบทเฉพาะกาลของวุฒิสภายาวกว่าระยะเวลาของรัฐบาลเลือกตั้ง 1 ปี

กล่าวคือ เมื่อรัฐบาล 2562 สิ้นสุดลง และตามมาด้วยการเลือกตั้ง 2566 นั้น วุฒิสภากลับหมดอายุในปี 2567 จึงเสมือนเป็นการออกแบบให้วุฒิสภามีอำนาจพิเศษเพิ่มอีก 1 ปี มากกว่ารัฐบาลตามปกติที่อยู่ในอำนาจได้ 4 ปี

ในอีกทางหนึ่งคือ การออกแบบการได้มาของ ส.ว.ในอนาคตจึงกลายเป็นความ “พิลึกพิลั่น” ในเชิงกระบวนการ เพราะวิธีการที่นักกฎหมาย-นักร่างรัฐธรรมนูญอย่างคุณมีชัย ฤชุพันธุ์ ได้จัดทำขึ้นนั้น ทุกฝ่ายตอบได้ในเบื้องต้นว่า เป็นเสมือนการ “วางระเบิดเวลา” ไว้ในการเมืองไทยอย่างแน่นอน และไม่ได้ให้สิทธิแก่ประชาชนในกระบวนการเลือกเช่นนี้ ซึ่งเสมือนการตัดที่มาของ “ส.ว. 2567” ออกจากความสัมพันธ์กับประชาชนไปโดยปริยาย

หรือที่กล่าวกันว่า อยากเลือก ส.ว. ต้องไปเสียค่าสมัคร เพื่อจะได้สิทธิในการเลือก อันเท่ากับว่าสิทธิทางการเมืองของประชาชนในส่วนนี้ได้ถูกจำกัดจากการออกแบบของคุณมีชัย เพราะไม่สามารถเรียกภาวะเช่นนี้ว่าเป็นการเลือกทางอ้อมได้แต่อย่างใด

 

ตัดสินประเทศไทย!

จากเงื่อนไขที่กล่าวมาแล้ว จึงทำให้วันที่ 26 มิถุนายน เป็น “วันตัดสินอนาคตประเทศ” อีกครั้งหนึ่ง อันเป็นผลจากการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาที่เกิดขึ้น เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า ส.ว.เป็นตัวแสดงสำคัญในการกำหนดทิศทางอนาคตการเมืองของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ผลของการเลือกที่ได้มา ก็ทำให้เกิดคำถามอย่างมากถึง สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับการเมืองไทยในอนาคต

ในอีกด้านหนึ่งก็เกิดคำถามตามมาอีกว่า ส.ว.ใหม่จะทำให้เกิดผลที่จะนำไปสู่ “การเมืองใหม่” ของยุคหลัง คสช. ที่เป็นผลดีต่อกระบวนการสร้างประชาธิปไตยไทยได้หรือไม่ เพราะหลายฝ่ายมีความหวังอย่างมากว่า การสิ้นสุดของวุฒิสภาเก่าจะเป็นส่วนหนึ่งของการปิดยุค คสช. อย่างแท้จริง และอาจทำให้วุฒิสภามีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น เพื่อกลไกสำคัญของการเปลี่ยนผ่านในอนาคต

อย่างไรก็ตาม การออกแบบกติกาการเลือกตั้ง ส.ว.ที่เกิดขึ้น เป็นที่รับรู้กันว่าเป็นกติกาที่มีปัญหาตั้งแต่ต้น เพราะเมื่อกฎหมายเลือก ส.ว. ได้ถูกประกาศออกมาแล้ว ตามมาด้วยข้อถกเถียงและคำถามมากมายในกระบวนการที่จะเกิดขึ้น ซึ่งทุกคนที่ติดตามจะมีความเห็นตรงกันว่า ถ้ากติกาการเลือกเป็นแบบนี้ จะทำให้เกิดการร้องเรียน หรือฟ้องร้องตามมา อันเป็นผลโดยตรงจากการออกแบบของ คสช.

โดยคุณมีชัย ฤชุพันธุ์ ซึ่งทำหน้าที่อย่างดีในการออกแบบ และสร้างกติกาที่จะทำให้การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองประสบปัญหาในตัวเอง และน่าจะเป็นการเลือก ส.ว. ที่น่าจะมี “ข้อครหา” และเสียงวิจารณ์ทางลบมากที่สุดในอีกแบบ

 

ผลของการออกแบบเช่นนี้ ทำให้ความหวังในทางทฤษฎีรัฐศาสตร์ว่า “สภาสูง” หรือวุฒิสภาจะทำหน้าที่ในการเป็น “พี่เลี้ยง” สำหรับ “สภาล่าง” หรือสภาผู้แทนราษฎร โดยเฉพาะในเรื่องของการตรวจสอบในเรื่องของการออกข้อกฎหมาย เพื่อให้กฎหมายที่ออกมาจากรัฐสภาเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับสังคม ซึ่งทฤษฎีทางรัฐศาสตร์เป็นเช่นนั้น และการออกแบบของโครงสร้างทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยก็เป็นเช่นนั้นด้วย เพราะระบอบประชาธิปไตยแบบสภาผู้แทนราษฎรมิได้ปฏิเสธต่อการดำรงอยู่ของสภาสูงแต่อย่างใด และทั้งคาดหวังอีกด้วยว่า วุฒิสภาจะเป็นส่วนของการประคับประคองระบบรัฐสภา

ในบางประเทศ สภาสูงอาจมีสถานะของการเป็น “สภาผู้ทรงคุณวุฒิ” ที่เป็นที่รวมของผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ในด้านต่างๆ เพื่อช่วยในเหลือในการมีบทบาทของ “ฝ่ายนิติบัญญัติ” (รัฐสภา) ที่มีหน้าที่หลักในการออกกฎหมาย เพื่อที่จะทำให้การออกกฎหมายของรัฐสภานั้น มีความรอบคอบ และมีกระบวนการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนจากวุฒิสภา

นอกจากนี้ วุฒิสภาเป็นส่วนสำคัญของการตรวจสอบและถ่วงดุลในการทำงานของ “ฝ่ายบริหาร” (รัฐบาล) เช่น ในเรื่องของงบประมาณแผ่นดิน เป็นต้น

แต่ทฤษฎีหลักรัฐศาสตร์ที่เป็นวิชาพื้นฐานที่นักเรียนรัฐศาสตร์ได้เรียนในตอนเป็นนิสิตปีที่ 1 นั้น มีสภาพ “ตกม้าตาย” กับการออกแบบของคุณมีชัย และ “ตาย” ในแบบที่คาดเดาได้ตั้งแต่ต้น… ว่าที่จริงก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะคุณมีชัยและคณะรัฐประหาร คสช. ไม่ได้ต้องการการออกแบบให้ ส.ว.ชุดใหม่ ที่จะกำเนิดขึ้นในยุคหลังการสิ้นสุดอำนาจของ คสช.นั้น เป็นไปเพื่อเสริมสร้างการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย เพราะการแต่งตั้ง ส.ว.ทั้ง 2 ชุดที่ผ่านมาเป็นอำนาจอย่างเต็มที่ที่อยู่ในมือของผู้นำรัฐประหาร 2557 ทั้ง 3 นายพล

หลายครั้งที่มีคำถามในทางวิชาการว่า ประเทศใดใช้กติกาการเลือกตั้ง ส.ว.ในแบบของประเทศไทยบ้าง หรือว่ากติกานี้ออกแบบเพื่อใช้กับ “การเมืองไทยยุคหลัง คสช.” เท่านั้น และการใช้กฎหมายนี้ เป็นภาพสะท้อนว่า อิทธิพลของคณะรัฐประหาร หรืออาจต้องเรียกกติกาแบบนี้ว่า “ทายาทอสูร” ของ คสช. ยังหลงเหลืออยู่ในการเมืองไทย แม้จะเปลี่ยนสภาพไปกับเงื่อนไขการเมืองในปัจจุบันก็ตาม

 

การเปลี่ยนผ่านอำนาจของ คสช.

ผลจากการเลือกทำให้เราได้เห็นถึงความสำเร็จของพรรคการเมืองที่มีฐานเสียงอยู่ในสภาล่างแต่เดิม เพราะ ส.ว.จาก “สายการเมือง” เช่นจาก “พรรคเพื่อไทย” และ “พรรคก้าวไกล” ไม่ชนะ แต่จาก “พรรคภูมิใจไทย” ชนะจำนวนมากอย่างคาดไม่ถึง อีกทั้งผู้สมัครที่เป็นอิสระ หรือกลุ่มที่มีทิศทางเป็นประชาธิปไตยนั้น เข้ามาได้ประมาณร้อยละ 10 เศษๆ เท่านั้นเอง โดยนัยของผลอีกด้านคือ พรรคฝ่ายตรงข้าม คสช. ไม่ชนะ

สิ่งที่เกิดเช่นนี้คือ การก่อตัวของ “ฐานกำลังใหม่” ในวุฒิสภา หรืออาจต้องเรียกว่า “พรรคภูมิใจไทย สาขา 2” กำเนิดในวุฒิสภา… การเมืองไทยจากนี้ จึงน่าสนใจอย่างยิ่ง และมีผลกับรัฐบาลเศรษฐาและพรรคเพื่อไทยอย่างมากด้วย และอาจสรุปได้ประการหนึ่งว่า นายกฯ จะเหนื่อยกับ “เกมสภา” มากขึ้น และพรรคเพื่อไทยจะเผชิญแรงกดดันทั้งจาก 2 สภา

กระนั้นจะเห็นอีกด้วยว่า ทุกคนที่เห็นกฎหมายนี้มีความรู้สึกไม่ต่างกันว่า กติกานี้ถูกออกแบบให้เกิดความ “มั่ว” ในตัวเอง และหลายเรื่องที่เกิดขึ้นบน “ความไม่ชัดเจน” ของกติกา และต้องให้ กกต.ที่เป็นผู้ถือกฎนี้ตัดสิน หรือเกิดความมั่วในเรื่องของอาชีพของบุคคลในแต่ละสาขาต่างๆ ดังที่ปรากฏเป็นข่าว เช่น คนประกาศเสียงตามสายในระดับหมู่บ้าน จะถือเป็นอาชีพสื่อหรือไม่ หรืออาชีพเช่นไรสำหรับบุคคลที่จะลงในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นต้น

ดังนั้น ในวันที่ 27 มิถุนายน จึงมีเรื่องให้เราหัวเราะสนุกๆ กับอาชีพของบุคคลเหล่านี้ แต่ก็กลายเป็นคำถามสำคัญกับบทบาทของ ส.ว.ในอนาคต และการเมืองไทย “ยุคหลัง ส.ว.ใหม่” จะเป็นเช่นไร หรือจะมีส่วนต่อการสร้างประชาธิปไตยเพียงใด

ในอีกด้านหนึ่งของกติกาเลือกไขว้ ก็เกิดการ “ฮั้ว” การฮั้วยังมีนัยถึงคำสัญญาที่จะช่วยกาคะแนนให้ แต่ก็บางที่กลายเป็นการ “หักหลัง” กัน เพราะไม่มีใครยอมใคร และสัจธรรมคือ ทุกคนอยากเป็น ส.ว. และไม่มีใครอยากสอบตก… ในบางกรณี การเดินเกมอาจตามมาด้วยการ “จ่าย” แม้การจ่ายจะยังไม่ถูกตรวจสอบอย่างจริงจังจาก กกต.ก็ตาม

แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ไม่เป็นภาพลักษณ์ที่ดีของวุฒิสภาในอนาคตแต่อย่างใด จนทำให้เกิดภาพหลักของการเลือก ส.ว.ชุดนี้ ด้วยปัญหา 4 คำ คือ “มั่ว-ฮั้ว-หัก-จ่าย”

 

ส.ว.ใหม่

เราคงต้องยอมรับว่าการเลือกครั้งนี้ กลายเป็น “ภาพลบ” ของการเมืองไทยในอีกแบบ และเป็นสัญญาณว่า ความหวังของการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยยังต้องเผชิญกับปัญหาอีกพอสมควร

ภาวะเช่นนี้ทำให้เกิดคำถามตามมาอย่างมีนัยสำคัญว่า คำว่า “ส.ว.ประชาชน” จะยังมีความหมายเพียงใดในการเมืองไทย ยกเว้นจะคิดแบบปลอบใจตัวเองว่า อย่างน้อยคนพวกนี้ก็ไม่ใช่การเลือกโดยผู้นำรัฐประหารในแบบเดิม ซึ่งคิดเช่นนี้แล้ว ก็อาจสบายใจไปอีกอย่าง

กระนั้น ก็มีบางท่านที่สามารถฝ่าฟันด่านต่างๆ เข้ามาได้ด้วยคุณสมบัติของตนเอง ซึ่งก็คงพอเป็นความหวังเล็กๆ ที่อาจจะเป็นดัง “หิ่งห้อย” ในกระบวนการสร้างประชาธิปไตยไทย แต่อย่างน้อยก็พอเป็นความหวัง ไม่ให้พวกเราในสังคมต้องหดหู่เกินไปในยามนี้… ในทางปฏิบัติไม่แน่ใจว่า เรากำลังเห็นการก่อตัวของ “ขั้วอำนาจใหม่” หรือจริงๆ แล้ว เรากำลังเห็น “การเมืองสาขา 2” ในระบบรัฐสภาไทยต่างหาก และเป็นการเปลี่ยนอำนาจในสภาสูงจากพรรคทหาร มาสู่พรรคภูมิใจไทย!

ป.ล. : ทำอย่างไรที่ประชาชนจะได้เลือก ส.ว.จริงๆ ไม่ใช่ต้องซื้อตั๋ว 2,500 บาทไปเลือก แล้วก็ยังไม่ได้เลือกอีก!