ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 12 - 18 กรกฎาคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | จ๋าจ๊ะ วรรณคดี |
ผู้เขียน | ญาดา อารัมภีร |
เผยแพร่ |
ลายพระหัตถ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ประทานแก่พระยาอนุมานราชธน ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2481 ในหนังสือ “บันทึกเรื่องความรู้ต่างๆ” เล่ม ๒ มีข้อความว่า
“ท่านคงทราบแล้วว่าแต่ก่อนไม่ได้เซนชื่อ ใช้ตราประจำตัวหรือประจำตำแหน่งประทับแทนเซนชื่อ”
(อักขรวิธีตามต้นฉบับ)
‘ตรา’ คืออะไร?
“พจนานุกรมสถาปัตยกรรมและศิลปเกี่ยวเนื่อง” ของ โชติ กัลยาณมิตร ให้ความกระจ่าง ดังนี้
“ตรา คือ ลายที่เป็นเครื่องหมายหรือสัญลักขณ์ของสิ่งที่ต้องการให้ผู้อื่นรับรู้สิทธิหรืออำนาจอาญาสิทธิ์ของผู้ที่เป็นเจ้าของตรานั้น ตราเป็นตัววัตถุที่ใช้ตอกลายลงบนวัตถุอื่นให้ปรากฏเครื่องหมายหรือสัญลักขณ์ที่ใช้กันในสมัยที่ยังไม่มีความนิยมเขียนลายมือชื่อ” (อักขรวิธีตามต้นฉบับ)
ตราเหล่านี้เป็นได้ทั้งตราชาดและตราครั่ง ดังจดหมายที่พระยาอนุมานราชธน กราบทูลสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศฯ ลงวันที่ 18 สิงหาคม 2482 ในหนังสือ “บันทึกเรื่องความรู้ต่างๆ” เล่ม ๓ ว่า
“ข้าพระพุทธเจ้าได้ลายพระตราประจำชาดและประจำครั่งมาอีกชุดหนึ่ง เป็นตราในพระบาทพระปิ่นเกล้าฯ เจ้าอยู่หัวหลายดวง ที่เป็นตราอักษรจีนก็มี ขอประทานถวายมาพร้อมกับหนังสือฉะบับนี้” (อักขรวิธีตามต้นฉบับ)
ตราประทับครั่งใช้ปิดผนึกจดหมายเพื่อป้องกันการลักลอบเปิดอ่านเอกสารก่อนจะถึงที่หมาย ครั่งที่ประทับจดหมายทำหน้าที่เดียวกับกาวปิดจดหมายนั่นเอง บทบาท ‘ครั่ง’ ลักษณะนี้พบในวรรณคดีสมัยรัตนโกสินทร์
ดังจะเห็นได้จากเสภาเรื่อง “ขุนช้างขุนแผน” หลังจากพระเจ้าเชียงใหม่ให้แต่งพระราชสาส์นท้าทายด้วยถ้อยคำหยาบคาย และมอบให้แสนตรีเพชรกล้า แสนกำกอง สองแม่ทัพเชียงใหม่นำไปส่งที่ด่านเมืองอยุธยา เมื่อถึงด่านท่าเกวียน เมืองสวรรคโลก ขุนไกรนายด่านซักถามได้ความว่าเป็นพระราชสาส์นจากพระเจ้าเชียงใหม่ถึงสมเด็จพระพันวษาแจ้งเรื่องจับพระท้ายน้ำไว้
ขุนไกรนายด่านจึงรับกล่องพระราชสาส์นแล้วขี่ม้าเร็วนำไปแจ้งเจ้าเมืองสวรรคโลก กรมการเมืองปรึกษากันแล้ว รีบเขียนใบบอกปิดตราใส่กลักประทับตราครั่ง
“อ้ายลาวเจ้ากรรมทำแล้วหวา เขียนบอกปิดตราสักประเดี๋ยว
เสร็จสรรพใส่กลักถักเป็นเกลียว เคี่ยวครั่งติดประจำซ้ำตีตรา”
ต่อจากนั้นให้พันมโนนำลงเรือไปพร้อมกับไพร่ 25 คน เดินทางจากสวรรคโลกไปยังอยุธยา นับจากนี้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นอีกมากมาย
หลังจากขุนแผนช่วยพระท้ายน้ำได้แล้ว ขุนแผนพลายงามจับพระเจ้าเชียงใหม่ได้ฝ่ายนั้นยอมอ่อนน้อมต่ออยุธยาในที่สุด ก่อนที่สองพ่อลูกจะยกทัพกลับกรุงศรีอยุธยาก็ปรึกษากับพระท้ายน้ำว่าควรรายงานสถานการณ์ถวายสมเด็จพระพันวษาว่าจะโปรดเกล้าฯ อย่างใดต่อไป
“ครานั้นขุนแผนแสนสงคราม พระท้ายน้ำพลายงามนั่งปรึกษา
บัดนี้มีชัยได้พารา จำจะแจ้งกิจจาไปกรุงไกร
ให้พระองค์ทรงทราบข่าวคดี ว่าเราตีเอาเมืองเชียงใหม่ได้
ทั้งตัวเจ้าเชียงอินทร์ปิ่นราชัย จะโปรดปรานประการใดให้รู้ความ”
หลังจากเขียนจดหมายกราบทูลเรียบร้อย ขุนแผนก็ทำดังนี้
“จึงพร้อมใจให้เขียนเป็นสารา ประทับตราหนุมานชาญสนาม
กับสำเนาเข้าผนึกบันทึกความ ห่อสามชั้นใส่ในกลักพลัน
ปากกระบอกพอกครั่งประจำตรา สั่งนายปานขวานฟ้านายคงมั่น
เอ็งไปเลือกม้าดีที่สำคัญ พากันรีบไปในพรุ่งนี้”
จะเห็นได้ว่าตราประทับครั่งทั้งสองครั้งสองคราล้วนยืนยันว่า การใช้ตราประทับครั่งก็เพื่อป้องกันมิให้มีการลักลอบเปิดเอกสารสำคัญระหว่างทาง นี่คือบทบาทสำคัญของ ‘ครั่ง’ ในด้านการสื่อสารสมัยรัตนโกสินทร์นอกเหนือไปจากการใช้ครั่งย้อมผ้าขนสัตว์ ผ้าไหม ฯลฯ ‘ครั่ง’ จึงเป็นสินค้าออกที่สำคัญไม่น้อยในสมัยนั้น
การค้ากับต่างประเทศในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นอกจากเป็นสินค้าประเภทของป่าแล้ว ยังมีความหลากหลายมากขึ้น ดังที่รองศาสตราจารย์ศุภรัตน์ เลิศพาณิชย์กุล บันทึกไว้ในหนังสือ “หาอยู่หากิน” (สำนักพิมพ์มติชน) ว่า
“การค้ากับจีน จากตัวเลขโดยประมาณปริมาณการค้ากับต่างประเทศของไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น การค้ากับจีนมีปริมาณสูงสุด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ จีนเป็นตลาดการค้าหลักของไทย
สินค้าออกที่ไทยส่งไปขายในจีนนั้นก็มีอยู่หลายชนิด เช่น ไม้ฝาง ไม้กฤษณา ไม้เนื้อแข็งต่างๆ หวายตะคา เปลือกปะโลง หนังสัตว์ เขากวาง เขากระบือ งาช้าง นอแรด เรือสำเภา ชิ้นส่วนของเรือสำเภา ครั่ง รง รังนก กระวาน กานพลู พริกไทย ดีปลี หมาก ฝ้าย ข้าว ยาสูบ น้ำตาลทราย น้ำมันมะพร้าว กุ้งแห้ง ปลาช่อนแห้ง ปลาเค็ม เนื้อสัตว์ตากแห้ง ดีบุก ตะกั่วและเหล็ก
นอกจากนี้สินค้าออกที่ไทยส่งไปขายยังเกาะปีนัง มะละกา และสิงคโปร์ในช่วงปลายทศวรรษ 2363 หนึ่งในจำนวนนั้นคือ ครั่ง คิดเป็นมูลค่า 77,208 รูปี ในขณะที่สินค้าออกของไทย พ.ศ.2393 มีรายได้จากครั่งถึง 254,000 บาท”
‘ครั่ง’ ชื่อสั้นๆ แต่สำคัญเกินคาดคิด •
จ๋าจ๊ะ วรรณคดี | ญาดา อารัมภีร
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022