วิถีแห่งตน | ชัยนาท สุวรรณ : ประกวดเรื่องสั้นมติชนอวอร์ด 2024

วิถีแห่งตน | ชัยนาท สุวรรณ

ประกวดเรื่องสั้นมติชนอวอร์ด 2024

 

(1)

ริมป่าเชิงเขารกร้างห่างไกลผู้คน ลมร้อนตามฤดูหอบละอองน้ำนับหมื่นพันจากลำธารใส พัดวูบไหวขึ้นกระทบใบหน้าบุรุษหนุ่ม บุรุษผู้มีรูปงามราวองค์อินทร์ ผิวพรรณสดใสราวทารกน้อยผู้ไม่เคยสัมผัสแสงอาทิตย์เบื้องบน เสื้อผ้าที่สวมใส่ มองดูแตกต่างจากชาวบ้านชาวเขา หรือพ่อค้าคหบดีแดนไกล ดูไปคล้ายชุดขุนนางในราชสำนักหรือเชื้อพระวงศ์เสียมากกว่า แต่บุรุษเช่นนั้น เหตุใดมายืนริมป่าเขาเช่นนี้เพียงลำพัง

บุรุษผู้มีรูปเป็นทรัพย์ นามว่า พระสังข์

แต่ละก้าวย่าง แต่ละท่าทางการเดินคล้ายการชมสวนหลังราชวัง ดูปลอดโปร่ง ไร้กังวลใด ราวกับช่วงชีวิตที่ผ่านมามิเคยมีสิ่งใดให้ต้องกังวล หากเป็นยามปกติ พระสังข์ไม่เคยออกมาไกลเพียงนี้ อย่าว่าแต่ริมป่าเขาเลย เพียงพ้นขอบรั้วราชวังสักห้าก้าวยังนับว่ายากเย็นยิ่ง

นับแต่มาอยู่เมืองนี้ สิ่งแรกที่พระสังข์ต้องเรียนรู้ คือ อาณาเขต

พื้นที่ส่วนใดที่เจ้าสามารถเข้าถึงได้ และส่วนใดที่เจ้ามิอาจแม้กระทั่งคิดไปเยี่ยมเยือน

เป็นคำสั่งแรกที่แม่พันธุรัต ผู้โอบอุ้มเลี้ยงดูมอบให้พระสังข์ ในวันแรก

เพลานี้ขอบเขตที่สามารถเข้าถึงได้ จบลงตรงหน้า เป็นพื้นที่ส่วนสุดท้ายของราชวัง เป็นจุดที่ห่างไกลราชวังที่สุด และไกลที่สุดที่เคยมาเยือน เบื้องหน้ามีเพียงเทือกเขาสูงชันและป่ารกชัฏ ป่าอันมืดทึบวังเวง คล้ายป่าช้าก็มิปาน

พระสังข์ยืนมองอยู่ชั่วครู่ คิดหันหลังกลับ

ทันใดนั้น เสียงใบไม้ไหวก็ดังขึ้น พร้อมเพรียง ดังเกรียวกราวราวกับต้องการแจ้งใครบางคนหยุด ฝูงนกนานาพรรณโผบินขึ้นสูงอารามตกใจ

พระสังข์ชะงักเท้าด้วยความตกใจ ความคิดวาบขึ้น หรือมีอสูรร้ายอยู่ภายนอกวัง

คิดได้ดังนั้น เท้าทั้งสองข้างรีบเร่งหันหลังกลับ เพื่อไปให้ห่างจากสถานที่นี้โดยเร็ว

ช้าก่อน!!

เสียงดังก้องกังวานราวกับเสียงระฆังเงิน สดใส นุ่มนวลจนชวนลุ่มหลง ไม่หนักและไม่เบาจนเกินไป แต่ดังเพียงพอให้ทราบว่าเป็นน้ำเสียงขอร้อง เป็นคำขอร้องจากหญิงสาวนางหนึ่ง

สุ้มเสียงราวนกการเวก หากหญิงใดเป็นเจ้าของเสียงนี้ รูปลักษณ์ของนางย่อมงดงามไม่ต่างจากนางฟ้านางสวรรค์แน่นอน พระสังข์คิด

“ท่าน ช้าก่อน” เสียงดังขึ้นต่อเนื่อง “โปรดช่วยเหลือข้าพเจ้าก่อนเถิด”

พระสังข์หันกลับไปตามเสียง สิ่งที่ปรากฏตรงหน้า เป็นหญิงงามวัยไม่เกินยี่สิบ ใบหน้าสวยสะคราญ ผมยาวถึงกลางหลัง ยุ่งเหยิงแต่ดูพราวเสน่ห์ อกและสะโพกแม้กลมโตไปบ้าง แต่เอวเล็กยิ่ง เล็กยิ่งจนยากจะละวางสายตา

แต่มีสิ่งหนึ่งผิดแผกไป ผิดแผกจนคล้ายเป็นจุดดำบนแผ่นกระดาษขาว

นางตาบอดข้างหนึ่ง

“เจ้ามีสิ่งใดให้ข้าช่วย” พระสังข์เอ่ยขึ้น ทันทีที่นางมาถึงตัว

นางยืนหอบ ขณะหอบยังงดงาม ข้อมือกลม ไม่สั้นและไม่ยาวจนเกินไป ยื่นออกจับสองมือพระสังข์ คล้ายไม่อาจให้พระสังข์หายตัวไปต่อหน้า ก่อนกล่าววาจา “ข้าโดนนางยักษ์จับมา”

พระสังข์สีหน้าตกใจ นี่มันเรื่องราวอันใด เหตุใดมีนางยักษ์มาเกี่ยวพันด้วย เขาคิด

ราวกับคำว่านางยักษ์เป็นสิ่งที่เกินความเข้าใจหรือจินตนาการของตน ราวกับเป็นสิ่งที่ไม่อาจมีอยู่จริงทั้งที่ตนเองยามเป็นเด็กน้อยก็อาศัยอยู่ภายในเปลือกหอยสังข์ นั่นไม่นับเป็นเรื่องที่ยากต่อการเข้าใจหรอกหรือ

“เจ้าโดนจับมาเพื่ออะไร และขังไว้ ณ ที่แห่งใด” พระสังข์ถาม

นางมองหน้าพระสังข์ด้วยสายตาวิงวอน “ข้ากับพี่น้องรวมกันสิบสองคน โดนจับมาขังไว้เพื่อเป็นอาหาร” น้ำตานางไหลหลั่งเป็นสายราวทำนบแตก “พวกยักษ์จะฆ่าและกินเรา”

พระสังข์ทำสีหน้าไม่เชื่อ คล้ายไม่คาดคิดจะได้ยินเรื่องเหลือเชื่อปานนี้ แต่ดวงตาอันบริสุทธิ์ของนาง หากบุรุษใดได้เห็น ยากนักจะไม่เชื่อ

“หากท่านยังลังเลสงสัย ท่านตามข้ามาเถิด” นางกล่าว พลางขยับตัว

พระสังข์ชะงักเท้าชั่วครู่ เหลือบมองเขตแดนที่แม่เคยห้ามไว้ เจ้าไม่อาจแม้กระทั่งคิดไปเยี่ยมเยือน

ในที่สุด พระสังข์ก็ก้าวออกมา

 

ห่างออกไปไม่ไกลนัก เป็นปากถ้ำกว้างและลึกจนน่ากลัว ต้นไทรใหญ่ราวกับเป็นไม้ดึกดำบรรพ์สองต้นขนาบสองข้างปากอุโมงค์ ตลอดทางพระสังข์ถามไถ่เกี่ยวกับประวัติตัวนางและผู้คนที่เหลือ พึงทราบว่า นางชื่อ เภา และมีพี่สาวทั้งสิ้นสิบเอ็ดคน ทุกคนล้วนถูกจับมาไว้ที่นี่พร้อมกัน ทุกคนล้วนตาบอดสองข้างยกเว้นนาง และทุกคนล้วนตั้งครรภ์

นางเภาเดินนำพระสังข์สำรวจรอบถ้ำ มืดจนยากจะมองเห็นสิ่งใด แต่ยิ่งประสาทการมองเห็นทำได้น้อยเพียงใด ประสาทการรับกลิ่นยิ่งทำงานดีขึ้นเพียงนั้น เพียงแค่ยืนนอกถ้ำ กลิ่นคลื่นเหียนของซากศพ กลิ่นคาวเลือด และกลิ่นเน่าเหม็นของบางสิ่ง โชยคลุ้งทั่วอาณาบริเวณ จนพระสังข์ต้องโก่งคออาเจียนตลอดเวลา

ลึกเข้าไปในถ้ำ ในที่สุดก็พบพี่ของนางเภา สภาพน่าเวทนายิ่งนัก เนื้อตัวสกปรก มอมแมม กลิ่นอับชื้นอบอวลรอบตัว ผมยุ่งเหยิงราวรังนกร้าง เสื้อผ้าเปื่อยขาด ทั้งหมดนั่งเกาะกลุ่มรวมกันข้างหินก้อนใหญ่ ทุกนางล้วนตาบอดสนิท อาการลุกลี้ลุกลนราวกับหวาดกลัวอันตรายตลอดเวลา

พระสังข์คาดคิดจะมีสิ่งใดน่าเวทนายิ่งกว่าการรอคอยความตายที่เห็นอยู่ตรงหน้า เป็นความตายที่มองเห็นไม่ไกล แต่ไม่อาจหลบหนี หรือป้องกัน

ลึกเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง ปรากฏเป็นซากโครงกระดูกของช้าง ม้า วัว ควาย และบรรดาสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลายที่พึงหาได้ในป่าด้านนอก รวมทั้งซากกะโหลกของมนุษย์อีกจำนวนหนึ่ง ในบรรดาโครงกระดูกทั้งหลาย โครงกระดูกของมนุษย์ดูเกลี้ยงเกลาที่สุด ขาวสว่างที่สุด มองไม่เห็นเศษเนื้อติดค้างบนก้อนกระดูก ราวกับผ่านการชำแหละและกัดกินอย่างประณีต คล้ายเป็นเนื้อที่มันโปรดปรานที่สุด

พระสังข์ปักใจเชื่อ นางเหล่านี้ล้วนเป็นเหยื่อที่ถูกยักษ์จับมาเพื่อกินเป็นอาหาร แต่เหตุใดแถวนี้จึงมียักษ์อาศัยอยู่ ทั้งที่มันไม่ไกลจากราชวังของเราเลย หรือเหตุผลนี้ แม่จึงห้ามมิให้เราออกมา พระสังข์คิด

เมื่อเห็นพระสังข์สงสัยในภาพตรงหน้า นางเภาจึงเอ่ยถามขึ้น “ท่านไม่เคยออกมายังที่แห่งนี้หรอกหรือ?”

พระสังข์อึกอัก กล่าวตอบ “ข้าไม่เคย”

เมื่อเห็นนางเภาทำหน้าสงสัย พระสังข์จึงกล่าวต่อ “ข้าไม่เคยออกนอกอาณาเขตที่แม่ข้ากำหนดไว้”

“อาณาเขตที่ท่านกล่าวถึง ที่ท่านถูกห้ามไป มีที่ใดบ้าง?” นางเภาถาม

“ที่นี่” พระสังข์หยุดชั่วครู่ ราวกับลมหายใจตีบตัน กล่าวต่อ “และอีกหลายที่”

จบคำ ทั้งคู่เงียบไป ราวกับต่างมีความคิดเป็นของตน แต่ไม่อาจกล่าวความคิดนั้นออกมาให้อีกฝ่ายได้ยิน

ผ่านไปอีกเนิ่นนาน พระสังข์จึงกล่าวขึ้น

“ข้ากลับวังก่อน แล้วข้าจะรีบมารับพวกเจ้าหนีไป”

 

(2)

ยอดเขาสูงชันเทียมเมฆ ใต้ทิวสนเรียงตัวขนานขอบผาลึก พระสังข์นั่งขัดสมาธิเงียบงัน ถัดไปมองเห็นรูปเงาะ เกือกแก้ว และไม้พลอง วางอยู่ด้านข้าง บริเวณด้านหลัง นางเภาและพี่สาวตาบอดทั้งสิบเอ็ดคนนั่งรวมกลุ่มไม่ห่าง ราวลูกนกตกยาก

นับแต่วันที่พระสังข์พบนางเภา และรู้ความจริงเกี่ยวกับการมีอยู่ของเผ่าพันธุ์ยักษ์ที่ลักพาพวกนางมา พระสังข์เริ่มสืบค้น หาข้อมูลจากนอกเขตหวงห้ามและสถานที่อันลึกลับที่มันไม่เคยแม้จะคิดไปเยี่ยมเยือนทุกแห่ง

เมื่อความจริงปรากฏ ดวงตาเบิกโพลง ราวกับเปิดกะลาที่คว่ำให้หงาย

นับแต่วินาทีนั้น พระสังข์ตัดสินใจแน่วแน่ในการตามหาแม่ที่แท้จริง แม่ที่เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ นางพันธุรัตน์ แม่บุญธรรมที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เยาว์วัย กลับกลายเป็นอมนุษย์ที่อำพรางความจริงเอาไว้อย่างเหนียวแน่น โดยมิอาจคาดเดาได้เลยว่านางทำเช่นนั้นเพื่อวัตถุประสงค์อันใด เหตุใดต้องลวงหลอกมานานเยี่ยงนี้

เสียงอื้ออึงดังมาจากแดนไกล ฟังดูคล้ายขยับเข้ามาทีละน้อย ใกล้เข้าหาริมผาที่พระสังข์นั่งคอยอยู่

เสียงของนางพันธุรัตน์

ทันทีที่นางพันธุรัตน์มาถึงยังตีนเขา พระสังข์เปิดเปลือกตาขึ้นเนิบช้า ก่อนกล่าว “แม่…มีสิ่งใดจะกล่าว”

นางพันธุรัตน์นิ่งเฉย ไม่ปล่อยวาจาใด ราวกับมันรู้ว่าเวลานี้ ไม่มีวาจาใดสมควรกล่าว เช่นนั้น ความเงียบนับเป็นวาจาที่สมควรกล่าวที่สุด

พระสังข์มองดูนางยักษ์นิ่ง คล้ายไม่มีวาจาใดจะกล่าวเช่นกัน

พลันเสียงนางเภาดังมาจากเบื้องหลัง ตะโกนบอกเล่าเรื่องที่พวกนางต้องประสบพบเจอ เรื่องราวอันน่าสะพรึงกลัวราวกับไม่ใช่เรื่องจริง เรื่องราวของความเลือดเย็นของบรรดายักษ์ที่ไม่แม้แต่จะรับฟังเสียงอ้อนวอนร้องขอชีวิตจากพวกนาง

นางพันธุรัตน์ยืนฟัง นิ่งเงียบ มองพระสังข์ด้วยแววตาอ่อนโยน ก่อนกล่าวตอบ “พระสังข์เอ๋ย แม่นั้นเป็นเผ่าพันธุ์ยักษ์ หากินในป่าพนาไพร ดักจับควายป่า ลิงป่า ค่าง บ่าง ชะนี หรือสัตว์ชนิดใดก็ตาม

เพื่อเป็นอาหาร สำหรับดำรงชีวิตแก่เรา”

จากนั้นหันมาทางนางเภา กล่าวต่อชัดถ้อยชัดคำ “เรามีพฤติกรรมเยี่ยงนั้น เราประพฤติตนเยี่ยงนั้นสืบมาเนิ่นนานแล้ว เป็นวิถีสามัญของเผ่าพันธุ์เรา หากเจ้ามองการกระทำของเราว่าโหดเหี้ยมป่าเถื่อน กระทำย่ำยีชีวิตและจิตใจพวกเจ้า สร้างความเจ็บช้ำให้เจ้าราวตกอยู่ในห้วงนรกก็ปาน”

นางหยุดชั่วครู่ เหลือบมองพระสังข์อย่างอ่อนโยนอีกครา พร้อมกล่าว “เจ้าจักตอบกับแม่ได้อย่างไรว่าการกระทำของมนุษย์ที่มีต่อสัตว์เดรัจฉาน ที่มันล้วนมองว่าต่ำต้อย สิ่งที่พวกมนุษย์กระทำต่อสัตว์เหล่านั้น เจ้าคิดว่าเป็นเยี่ยงไร พวกเจ้ามิได้กินเนื้อปลา มิได้ฆ่าหมู กระทั่งมิได้ทุบตีวัวและควายจนตายต่อหน้า เพื่อนำเนื้อพวกมันมากินเป็นอาหาร เจ้าจะบอกว่าพวกมนุษย์ฆ่าพวกมันด้วยความเมตตาอย่างนั้นหรือ”

พระสังข์นิ่งเงียบ นางเภานิ่งเงียบ พี่นางเภาทั้งสิบเอ็ดคน ย่อมนิ่งเงียบเช่นกัน

เหตุของการนิ่งเงียบ อาจเพราะคำพูดของนางพันธุรัตน์มิได้ผิดเพี้ยนไปจากความจริง

เวลาเลยผ่านนานพอให้อึดอัด นางเภาตัดสินใจทักท้วงขึ้น ผู้หญิงอย่างไรเสีย การถกเถียงด้วยคำพูดกลับเป็นอาวุธที่พวกนางมีมาแต่กำเนิด

“เหตุใดยักษ์เช่นท่าน จึงมิเคยแม้จะฟังคำอ้อนวอนของพวกข้าบ้าง รับฟังสิ่งที่พวกข้าร้องขอชีวิต หรือรับรู้ความเวทนาสาหัสของพวกข้าบ้าง ยามพวกข้าหวาดกลัวแทบสิ้นสติ ร้องไห้ขอชีวิตปานจะขาดใจ เหตุใดพวกท่านทำทีเป็นไม่ได้ยินแม้เสี้ยวอณูเสียง”

นางพันธุรัตน์หันมายิ้มอย่างอ่อนโยน กล่าวตอบ “มนุษย์เอ๋ย เจ้าเคยได้ยินเสียงของปลา เจ้าเคยสนใจยามมันดิ้นรนทุรนทุรายบนเขียงไม้ที่เป็นเช่นลานประหารบ้างหรือไม่ มนุษย์เอ๋ย เจ้าเคยได้ยินเสียงร้องขอชีวิตของหมูที่กำลังจะตายบ้างหรือไม่ เจ้ามิเคยยินดียินร้ายต่อคำอ้อนวอนเหล่านั้นเฉกเช่นเดียวกันกับเรา”

นางยกมือชี้มาที่ตัวเอง ก่อนกล่าว “แต่เหตุใดถึงเป็นพวกข้า เผ่าพันธุ์ยักษ์เท่านั้นที่ถูกปรักปรำให้เป็นพวกใจดำอำมหิต หรืออาจเพราะรูปลักษณ์เรามิอาจสวยงามเท่าพวกเจ้า มนุษย์เอ๋ย ยักษ์ก็มีความงามอย่างยักษ์ มนุษย์ก็มีความงามอย่างมนุษย์ เผ่าพันธุ์อื่นก็เฉกเช่นเดียวกัน เจ้าจงเลิกใช้ความคิด ความรู้สึกจากมุมมองตนกล่าวหาผู้อื่นเสียทีเถิด เจ้าทำราวกับเป็นนิสัยที่ติดตามเผ่าพันธุ์เจ้ามาเนิ่นนาน”

นางกล่าวจบพร้อมรอยน้ำตา น้ำตาจากดวงตาที่อ่อนโยนยิ่ง

พระสังข์ยังนิ่งเงียบ ราวกับไม่มีคำพูดใดจะกล่าว

นางพันธุรัตน์ทราบแล้วว่าพระสังข์คงตัดสินใจไปจากนางแล้ว นางแม้เลี้ยงดูพระสังข์จนเติบใหญ่ แม้จะเลี้ยงดูด้วยความรักมากเพียงใด ช่องว่างระหว่างเผ่าพันธุ์กลับไม่อาจถมเต็มด้วยความรัก นางตัดสินใจเดินมาริมหน้าผา พร้อมขีดเขียนคาถาประจำตัว ฝากไว้ให้พระสังข์ใช้เลี้ยงตัวในอนาคต ก่อนเหาะกลับลับหายไปอย่างเงียบงัน

 

(3)

ริมลำธารใส พระสังข์และนางสิบสอง ทรุดตัวลงนั่งบนโขดหินเพื่อล้างเนื้อตัว และพักผ่อนจากการเดินทางมายาวไกล

การเดินทางไกล พร้อมหญิงท้องตาบอดสนิทสิบเอ็ดคน ย่อมไม่ง่ายเลยสำหรับบุรุษหนุ่มผู้เติบโตในราชวัง

พระสังข์นั่งเหม่อมองไปไกล ราวกับจะมองให้เห็นขอบฟ้าอีกซีกโลก ความเหนื่อย ความเครียด ความรู้สึกผิด ปนเปจนแยกไม่ออก บางครั้งมันคิด สิ่งที่ทำนั้นถูกต้องหรือไม่? มันทิ้งนางพันธุรัตน์ที่ดีต่อมันยิ่ง ถูกต้องแล้วหรือไม่? สิ่งที่นางพันธุรัตน์อ้างถึง ถูกต้องแล้วหรือไม่? มันควรทำอย่างไร? ควรอยู่กับนางยักษ์ที่คอยดักกินเนื้อมนุษย์อย่างนั้นหรือ?

ทันใดพระสังข์สะดุ้งรู้สึกตัว ได้ยินเสียงเรียกจากนางเภา ร้องขอให้ช่วยจับปลาจากลำธาร เนื่องจากนางต้องทำอาหารเลี้ยงชีวิตนางและบรรดาพี่สาวทั้งสิบเอ็ดคน

ภาพเบื้องหน้า พระสังข์เห็นนางเภากำลังสาละวนกับการดักจับปลาลำพัง หญิงท้องแก่ที่มีดวงตาเพียงหนึ่งข้าง การจับปลาสักตัว ยากเย็นปานจะขาดใจ

พระสังข์เดินมาริมลำธาร พลางนึกทบทวนคาถาที่นางพันธุรัตน์เพิ่งมอบให้ คาถามหาจินดามนต์ คาถาที่มีอิทธิฤทธิ์ในการเรียกเนื้อเรียกปลา จากนั้นตั้งสมาธิท่องบทสวดมนต์ดังกล่าวในใจ

สวดจบ เมฆครึ้มเต็มฟ้า ลมแรงพัดโหมน้ำเอ่อนองตลิ่ง มองเห็นน้ำวนหมุนรอบตัวเองเป็นวงหลายแห่ง ราวกับมิใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกมนุษย์ ปลาน้อยใหญ่ว่ายตามน้ำเข้าสู่ใจกลางน้ำวน เพิ่มจำนวนขึ้นทีละน้อย ก่อนกระโดดพรวดขึ้นจากลำธารเกยตลิ่งเกลื่อนกลาด นางเภาดีใจราวเด็กน้อย รีบตะครุบปลา จับใส่ข้องอย่างตื่นเต้น

จากนั้น นางเภาทยอยหยิบปลาออกมาทำอาหาร โดยมีพี่สาวคอยช่วยเหลือตามกำลัง

หลังจากทำปลาเสร็จ นางโยนเนื้อปลาลงน้ำเดือด พร้อมกับเติมผักสมุนไพรที่พอหาได้เพื่อปรุงรส ไม่นาน กลิ่นหอมกรุ่นลอยโชยมาแตะจมูกของพระสังข์ที่แยกตัวออกมานั่งอีกฟากฝั่งของลำธาร

แต่มิทันซึมซาบกลิ่นรัญจวน พระสังข์ได้ยินเสียงโวยวายดังสนั่น ราวกับคนกำลังทะเลาะกัน คราแรกพระสังข์คิดว่าเป็นพี่น้องถกเถียง แต่ฟังดูกลับมิใช่ เป็นเสียงของผู้หญิงอีกคนที่ไม่ใช่ในกลุ่มนางสิบสอง คิดได้ดังนั้น พระสังข์จึงรีบรุดเดินมาชมดู

ทันทีที่พระสังข์มาถึงที่เกิดเหตุ นางเภาส่งเสียงฟ้อง ความว่า “นางคนนี้” นางเภาพูดพร้อมกับชี้นิ้วไปยังผู้หญิงคนหนึ่ง “บอกว่าน้องฆ่าแม่ของนาง”

พระสังข์หันมองตามนางเภา ปรากฏผู้หญิงอีกนางหนึ่ง ดูจากการแต่งตัว นางผู้นี้เป็นหญิงชาวบ้าน

นางเภากล่าวต่อ “จะเป็นไปได้อย่างไร เพราะหม้อที่น้องกำลังต้มอยู่นั้น มีเพียงปลาที่เพิ่งจับมาได้ จะเป็นแม่ของนางไปได้อย่างไรกัน”

หญิงนางนั้น ยังคงร้องไห้ไม่เลิกรา ฟังดูไม่ได้สรรพ และชวนให้งุนงงสงสัยยิ่งขึ้น พระสังข์พยายามสอบถามอย่างสุขุม คอยจับเรื่องราวชวนสงสัย จนได้ความว่า นางเป็นชาวบ้านมาจากต้นลำธาร ชื่อเอื้อย นางมาตามหาปลาบู่ทองตัวหนึ่ง ปลาบู่ทองที่นางเรียกว่าแม่

เอื้อยหันมาทางนางเภาด้วยสายตาอาฆาต พร้อมกล่าว “เจ้าฆ่าแม่ของเรา”

นางเภาถอยหลังหนึ่งก้าว ก่อนตอบ “เราไม่รู้ว่าปลาตัวนี้คือแม่ของเจ้า เราก็เพียงหาปลาจากลำธารมากินตามประสาเราเท่านั้น คนจับปลากินมันผิดปกติตรงไหนกัน ในเมื่อปลาก็ได้ชื่อว่าเป็นอาหารของมนุษย์อยู่แล้ว”

ขณะที่นางทั้งสองยังถกเถียงกัน พระสังข์ออกเดินไปดูเนื้อปลาในหม้อ น้ำเดือดพลุ่งพล่าน จวนเสร็จ กลิ่นหอมโชยมาเป็นระยะเรียกน้ำย่อยให้ขยับทำงาน ตามประสาคนหิวโหยมาหลายชั่วโมง พระสังข์ยืนดูเนื้อปลาลอยล่องในน้ำเดือด มิได้รู้สึกสังเวชมากไปกว่าการฆ่าปลาสักตัวเพื่อเป็นอาหาร แต่ส่วนลึกในใจกลับรู้สึกคล้ายมีบางสิ่งรบกวนจิตใจ ราวกับมีสิ่งใดทวงถามว่ามันทำผิดไปหรือไม่

ทันใด เบื้องหน้าของบรรดามนุษย์ทั้งหลาย ปรากฏร่างขนาดมหึมา เป็นร่างกายของยักษ์ตนหนึ่ง นามว่า สันตรา

นางเดินย่องมาหยุดยืนริมลำธาร ไม่ห่างจากหม้อน้ำเดือด ก่อนกล่าว “ในที่สุดก็ตามหาจนพบ”

นางหันมาทางนางสิบสอง พลางยื่นมือทำท่าทางจะจับนางเภา จนพระสังข์ต้องกระโดดเข้าขวาง พร้อมถือไม้พลองวิเศษกระชับแน่น เชิงขู่

นางยักษ์สันตรา หยุดชะงัก

“เจ้ามาขวางเราไว้ทำไม” นางกล่าวน้ำเสียงอารมณ์เคืองขุ่น กล่าวต่อ “เจ้ามาลักเอาอาหารของเรา เมื่อเราตามเจอ เจ้ากลับมาขัดขวางอีกหรือ เจ้าจะประพฤติตนเยี่ยงโจรป่าไร้ยางอายหรืออย่างไร?”

“อย่ามาพูดเรื่องถูกต้อง ดีงามกับข้า” พระสังข์ตะโกนก้อง ท่าทีองอาจ “นางยักษ์ที่จับคนมาฆ่ากินราวกับผักปลา มีสิ่งใดดีพอจะกล่าวหาผู้อื่น หากจะมีใครชั่วสักคนในที่นี้ คงจะมีเพียงเจ้าเท่านั้น”

นางยักษ์สันตรา ทำหน้างุนงง ราวกับเจ้าทุกข์ที่จับโจรร้ายได้ แต่กลับโดนโจรร้ายด่าว่าชั่วช้า มันกล่าวอย่างเนิบช้า เน้นชัดทุกถ้อยคำ เพื่อให้พระสังข์เข้าใจในเรื่องราวที่ตนเองกระทำ

“ข้ามาตามจับอาหารของข้า ที่เจ้าลักพามา แต่กลับโดนเจ้าซึ่งเป็นโจร ด่ากลับว่าเป็นคนชั่ว” นางกล่าวจบ หันไปมองทางนางสิบสองอีกครา

พระสังข์มองตาม พลางนึกขึ้นได้โดยพลัน กล่าวถามนางเภาอย่างรีบร้อน “นางเภา เจ้ามิใช่ถูกแม่ของข้าจับมาหรอกหรือ”

นางเภาตอบน้ำเสียงตัดพ้อ “ข้าจำไม่ได้หรอกว่าถูกนางยักษ์ตนใดจับมา ยักษ์ทุกตน ล้วนมีหน้าตาอัปลักษณ์ไม่ต่างกัน”

นางยักษ์สันตรา หันมาทางพระสังข์ ก่อนกล่าว “พระสังข์ หากเจ้าจับปลาฝูงหนึ่งไว้ได้ แล้วขังเอาไว้เพื่อเป็นอาหารแก่ลูกและเมียของเจ้าในวันถัดไป เมื่อวันใดที่เจ้าพบว่ามันหาย เจ้าจักทำเช่นไร”

“ข้าก็ต้องออกตามหา เอามันกลับคืนมา” พระสังข์ตอบโดยพลัน

นางยักษ์สันตรา หันไปทางนางสิบสองก่อนยิ้ม พร้อมกล่าว “เหตุใดท่านไม่คืนมันแก่เราเล่า”

จบคำ เสียงของนางเอื้อยดังขึ้นสมทบด้วยอารมณ์โกรธ “ใช่แล้วพระสังข์” นางเดินเข้ามาใกล้ พร้อมกล่าวต่อ “เหตุใดท่านจึงไม่ทำตัวเยี่ยงโจรกลับใจ ท่านจะปกป้องนางตาบอดทั้งสิบสองคนด้วยเหตุผลใด นางผู้ต้องรับผลกรรมจากการควักลูกนัยน์ตาปลาเยี่ยงของเล่นในวัยเด็ก ย่อมสมเหตุสมผลแล้ว”

“เจ้ารู้ได้อย่างไร” พระสังข์ถามทันควัน

“แม่ข้าเป็นปลานะสิ” นางตอบสวนทันที กล่าวต่อ “และคนที่รู้ดีที่สุดคือนางทั้งสิบสองคนนั่นเอง ท่านลองสอบถามหาความจริงเองเถิด”

พระสังข์หันมามองนางเภา สีหน้าและแววตาของนางทั้งสิบสองล้วนบ่งบอกชัดเจนว่าสิ่งที่นางเอื้อยกล่าวล้วนเป็นความจริง

นางเภากล่าวต่อนางเอื้อย “เอื้อย ข้ารู้ว่าข้าได้ทำผิดในการฆ่าแม่ของเจ้า แต่นั่นเหตุเพราะความพลั้งเผลอและไม่รู้ เหตุใดเจ้าจึงต้องผลักไสพวกข้าให้ไปตายด้วย ใจของเจ้ามันโดนความโกรธ ความอาฆาตแค้น ครอบงำเสียสิ้นแล้วเหรอ”

นางยักษ์สันตรายืนรับฟังเรื่องราวทั้งหมด พลางทอดถอนใจ ก่อนกล่าว “นางเอื้อย แม่ของเจ้าแท้จริงมิได้ตายตกเหตุเพราะพวกนางฝ่ายเดียวหรอก แม่ปลาบู่นั้น สิ้นอายุขัยของตนเองแล้วต่างหาก”

ทุกสายตามองมายังนางยักษ์สันตรา รับฟังนางกล่าวต่อ “หลักฐานคือ คาถามหาจินดามนต์ ที่ใช้เรียกปลานั้น มันจะเรียกหาเฉพาะบรรดาปลาที่หมดอายุขัยแล้วเท่านั้น และคาถาบทนั้น มียักษ์เพียง

ตนเดียวที่ใช้ นั่นคือ นางพันธุรัตน์”

นางยักษ์สันตราหันมองพระสังข์ “เจ้าเป็นคนสำคัญของนางสินะ”

“ข้าเป็นบุตรบุญธรรมของนาง” พระสังข์ตอบ น้ำเสียงเจ็บปวดระทม

นางยักษ์สันตราหัวเราะลั่นป่า พร้อมกล่าว “นางพันธุรัตน์เป็นยักษ์ที่กินเฉพาะสัตว์ที่หมดอายุขัยแล้วเท่านั้น นางนั้นไม่เคยกินมนุษย์หรือสัตว์อื่นมาก่อนเลย ศีลของนางจึงบริสุทธิ์ และเป็นที่เคารพยิ่งของสรรพสิ่งทั้งหลายในอาณาบริเวณนี้” นางถอนหายใจบางเบา ก่อนกล่าวต่อ “เห็นแก่ความดีของนาง วันนี้ข้าจักถือศีลกินเจสักมื้อ”

กล่าวจบ นางยักษ์สันตราหันหลังเดินลับหายไปในป่าทึบเบื้องหลัง พร้อมเสียงหัวเราะดังราวกัมปนาท

ผ่านไปเนิ่นนาน จนผืนป่าสงบลงราวหลับใหลอีกครั้ง ทิ้งเวลาให้ทุกคนหันกลับมามองตนเอง มองวิถีแห่งตนเองอีกครั้ง วิถีที่จะดำรงตนสืบไป

จากนั้น นางเภาลุกเดินอย่างสุภาพและส่งมอบเกล็ดแม่ปลาบู่ทองให้แก่นางเอื้อย พลางกราบขอขมา และอธิษฐานให้แม่ปลาบู่ทองไปเกิดใหม่เป็นต้นมะเขือ

นางเอื้อยมิได้กล่าววาจา เพียงแต่น้ำตาที่ไหลหลั่งออกมา บ่งบอกว่านางเข้าใจ พลางขยับเดินไปทางต้นลำธาร กลับสู่วิถีของตนเอง

ฝ่ายพระสังข์ ก้มตัวลงขยับรองเท้าแก้ว สองมือกระชับไม้พลองและรูปเงาะ ก่อนหันมากล่าววาจากับนางสิบสอง บอกให้รอคอยตน พร้อมเหาะกลับไปหานางพันธุรัตน์ แม่ของมัน ตามวิถีของมัน •