ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 21 - 27 มิถุนายน 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | ฝนไม่ถึงดิน |
ผู้เขียน | ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี |
เผยแพร่ |
ในปีที่ผ่านมาผมได้ออกแบบบอร์ดเกมเพื่อใช้สำหรับการสื่อสารประเด็นการผลักดันรัฐสวัสดิการชื่อว่า เกม “มวลชนปฏิวัติ”
โดยในปีที่ผ่านมาผมพยายามอุดช่องโหว่ของเกมมากขึ้นๆ จนใช้สำหรับการสื่อสารกับผู้คนได้ในหลากหลายกลุ่ม
ในบทความนี้ ผมขอใช้พื้นที่ถอดบทเรียนจากการเล่นเกมนี้กับกลุ่มคนที่หลากหลาย
ตั้งแต่นักศึกษาถึงภาคประชาชน
รวมถึงกลุ่มทางการเมือง
ในเกมนี้ผมกำหนดผู้เล่นออกเป็น 7 คน ประกอบด้วย ประชาชน 3 คน นักการเมือง ข้าราชการ รัฐบาล นายทุนอย่างละหนึ่งรวมเป็น 7 คน
โดยผู้เล่นแต่ละคนมีเป้าหมายที่ต่างกัน
ประชาชนต้องการ “มวลชนปฏิวัติ”
ข้าราชาการต้องการ “อำมาตยาธิปไตย”
นักการเมืองต้องการเป็นรัฐบาล
รัฐบาลต้องการเป็นรัฐบุรุษ
และนายทุนต้องการซื้อประเทศ
แต่ละผู้เล่นจะมีเหรียญสามสีประกอบด้วย ความนิยม เงิน และอำนาจ เพื่อใช้ในการผลักดันประเด็นต่างๆ
ผู้เล่นทั้ง 7 จะผ่านฉากที่ต้องต่อรองอำนาจระหว่างกันเพื่อเลือกจะผลักดันประเด็นต่างๆ หรือไม่ ซึ่งต้องใช้ทรัพยากรที่ต่างกัน
ประกอบด้วย เงิน อำนาจ ความนิยม ที่ต้องระดมจากผู้เล่นคนอื่น เพื่อผลักดันประเด็นที่เราต้องการ
ไม่ว่าจะเป็น ลาคลอด 180 วัน บำนาญถ้วนหน้า ประกันสังคมถ้วนหน้า เรียนมหาวิทยาลัยฟรี เก็บภาษีทรัพย์สิน การเลือกตั้ง รัฐประหาร ลดหย่อนภาษีให้กลุ่มทุน ไล่มาจนกระทั่งถึง การนัดหยุดงานทั่วประเทศ
ผู้เล่นแต่ละคนไม่สามารถผลักดันเรื่องเหล่านี้ หรือกีดขวางเรื่องเหล่านี้ได้ตามลำพัง ต้องอาศัยผู้เล่นคนอื่นช่วยด้วย
แน่นอนสำหรับประชาชนที่วางไว้ หากสามารถเก็บเกี่ยวนโยบายสวัสดิการที่ก้าวหน้าและกีดขวางนโยบายที่ไม่ก้าวหน้า จนได้การเปลี่ยนแปลง 10 หน่วยก็จะได้มวลชนปฏิวัติ ถือว่าประชาชนชนะ
แต่จะทำบรรลุได้ต้องมีพันธมิตร เพราะเกมสามารถออกแบบให้มีผู้ชนะได้หลายคน
พร้อมกันผมขอยกตัวอย่าง สถานการณ์ที่มีผู้ชนะหลายคน
1.มวลชนปฏิวัติ นักการเมืองได้เป็นรัฐบาล รัฐบาลได้เป็นรัฐบุรุษ
เมื่อประชาชนสามารถสร้างพันธมิตรกับนักการเมืองที่พวกเขาไว้ใจได้ จริงอยู่ว่านักการเมืองผลประโยชน์ของพวกเขาแกว่งไปมา ระหว่างกลุ่มก้าวหน้า กับกลุ่มอนุรักษนิยม เพราะพวกเขามีโอกาสที่จะสะสมความนิยมได้จากทุกฝ่าย
ถ้าประชาชนสามารถดึงนักการเมืองให้เข้าใจว่าผลประโยชน์ของนักการเมือง กับผลประโยชน์ประชาชนเป็นเรื่องเดียวกันก็สามารถผลักดันประเด็นต่างๆ ได้เช่นเดียวกัน
แม้รัฐบาลต้องระวังว่านักการเมืองจะมีความนิยมมากกว่าตนเองเสมอ แต่หากตอนจบเป้าหมายของรัฐบาลคือการได้เป็นรัฐบุรุษคือการสะสมอำนาจให้ได้มากที่สุดในเกม
หากรัฐบาลยอมหลีกทางให้นักการเมืองสะสมความนิยม และตนสะสมอำนาจ ก็จะทำให้เป้าหมายของตัวเองลุล่วงไปได้
2.ไม่เกิดมวลชนปฏิวัติ นายทุนซื้อประเทศ รัฐบาลเผด็จการได้เป็นรัฐบุรุษ ใต้ระบอบอำมาตยาธิปไตย
ในทางตรงข้ามเกมก็ไม่ได้ออกมาแค่ทางเดียว จริงๆ แล้วโอกาสการเกิดมวลชนปฏิวัติก็ยากไม่แพ้โลกจริง เพราะจุดเริ่มต้นตัวแสดงต่างๆ มีทรัพยากรไม่เท่ากัน
หากกลุ่มชนชั้นนำสามารถคุยกันได้ในช่วงเริ่มแรก พวกเขาก็จะขยายพันธมิตรในการกีดขวางนโยบายต่างๆ ไปเรื่อยๆ สนับสนุนการลดหย่อนภาษีกลุ่มทุน สนับสนุนรัฐประหาร ล้มการเลือกตั้ง ขวางการขึ้นภาษีอำนาจของรัฐบาลก็จะมากขึ้นๆ
ข้าราชการก็จะเริ่มแสดงตัวอยู่ข้างผู้มีอำนาจ นโยบายต่างๆ เพิ่มอำนาจนายทุนมากขึ้นๆ
สุดท้ายประชาชนก็ไม่สามารถทำอะไรได้ นักการเมืองหวือหวาขึ้นมาบางจังหวะ แต่ก็ถูกซื้อตัวโดยกลุ่มทุน
3.ไม่เกิดมวลชนปฏิวัติ นักการเมืองได้เป็นรัฐบาล นายทุนซื้อประเทศได้
ฉากนี้เป็นฉากที่มีนักการเมืองขึ้นมาให้ความหวังแก่ประชาชน ในนโยบายแรกๆ แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาเลือกที่จะใช้ความหวังหลอกประชาชน
แม้พวกเขาจะสามารถเข้ามาแทนที่รัฐบาลชุดก่อนได้ แต่การที่พวกเขาดีลอะไรต่างๆ ไว้กับกลุ่มชนชั้นนำอย่างมากมายละเทะ สุดท้ายแล้วประชาชนก็ได้เพียงแค่เศษเนื้อข้างเขียง
และนายทุนก็รวยและมีอำนาจมากขึ้นจนเข้ามาเทกโอเวอร์ทุกอย่างในประเทศ
จนประชาชนเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้เช่นกัน
ทุกท่านคิดว่าสำหรับประเทศไทย เราใกล้เคียงกับสถานการณ์ใดมากกว่ากัน?
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมถอดบทเรียนสำคัญ คือบางเกมเราได้นักการเมืองดี ทุกอย่างก็ดีไป ได้นายทุนใจกว้างรักรัฐสวัสดิการ ก็ดีไป
แต่มันไม่มีอะไรแน่นอน ถ้าเราอยากให้รัฐสวัสดิการอยู่ในสถานการณ์ที่มั่นคงและเห็นอนาคต เราจำเป็นต้องรวมตัวและหนักแน่น
และยิ่งในโลกจริงประชาชนแทบไม่อยู่ในสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงอะไรเลย
และเรื่องสำคัญที่สุด เราต้องไม่ปล่อยให้อภิสิทธิ์ชนคิดแทนเรา มิเช่นนั้นเราจะไม่มีวันได้อะไรเลย
เป็นบทเรียนสำคัญที่ผมสามารถสรุปได้จากเกม “มวลชนปฏิวัติ” ซึ่งจำลองสถานการณ์การการต่อสู้ทางการเมืองในประเด็นรัฐสวัสดิการร่วมสมัยออกมา
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022