ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 19 - 25 มกราคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | มุมมุสลิม |
ผู้เขียน | จรัญ มะลูลีม |
เผยแพร่ |
ถึงที่สุดอาจกล่าวได้ว่าจุดอ่อนที่สุดที่ผ่านมาของ MBS น่าจะอยู่ที่การให้การส่งเสริมการถล่มและการต่อต้านประเทศที่เต็มไปด้วยความยากจนอย่างเยเมนอย่างต่อเนื่อง
และในที่สุดสงครามนี้ก็ย้อนกลับเข้าตัวเองและมีผลกระทบต่อราชวงศ์ในหลายๆ ด้าน
ทั้งนี้ กบฏฮูษี (Houthi) ยังคงมีความเข้มแข็งอยู่ในเยเมนและพยายามขยายการถล่มด้วยขีปนาวุธเข้าไปในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นพันธมิตรที่มีความใกล้ชิดทางทหารและทางการเมืองกับซาอุดีอาระเบียเป็นอย่างมาก
ประธานาธิบดีโรฮานี (Hassan Rouhani) ขณะที่ปฏิเสธข้อกล่าวหาของซาอุดีอาระเบียว่าอยู่เบื้องหลังการต่อสู้ของฝ่ายกบฏกล่าวว่า
ชาวเยเมนมีสิทธิ์ที่จะตอบโต้การโจมตีเนื่องจากประเทศของพวกเขาตกอยู่ภายใต้การบุกถล่มทางทหารและการปิดกั้นทางเศรษฐกิจ
ประเทศเยเมนต้องถูกทำลายล้างอันเนื่องมาจากการร่วมมือทางทหารที่นำโดยซาอุดีอาระเบียที่ได้รับการหนุนช่วยจากสหรัฐและอังกฤษ
นอกจากกำไรมหาศาลซึ่งบริษัทขายอาวุธของสหรัฐและอังกฤษได้รับจากการขายอาวุธให้ซาอุดีอาระเบียและพันธมิตรแล้วอาวุธเหล่านี้ยังถูกนำไปถล่มฝ่ายกบฏจนทำให้ประชาชนชาวเยเมนต้องล้มหายตายจากและทุกข์ทรมานอยู่ในเวลานี้เป็นจำนวนมาก
จนถึงเวลานี้ประชาชนชาวเยเมนกว่า 20 ล้านคนตกอยู่ในภาวะต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างเร่งด่วน นอกจากนี้ ชาวเยเมนอีก 7 ล้านคนยังคงอยู่ในภาวะอดอยากหิวโหยอีกด้วย
การปิดกั้นทั้งหมดที่มีต่อเยเมนทั้งทางอากาศ ทะเล และพื้นดินที่กระทำขึ้นโดยซาอุดีอาระเบียทำให้ราคาอาหารที่ต้องปรุงด้วยน้ำมันมีราคาพุ่งขึ้นเป็นสองเท่า
สหประชาชาติได้ออกมาเตือนว่าผู้คนในเยเมนนับล้านจะตายลงหากซาอุดีอาระเบียไม่ยกเลิกการปิดกั้นดังกล่าว
Mark Lowcock เจ้าหน้าที่ชั้นสูงในกิจการด้านสิทธิมนุษยชนกล่าวกับคณะมนตรีความมั่นคงว่าหากการปิดกั้นดังกล่าวไม่ถูกยกเลิกก็จะได้เห็น :
“ความอดอยากขนาดใหญ่ที่สุดที่โลกจะได้พบในรอบหลายทศวรรษที่ผ่านมา โดยมีผู้ที่ต้องตกเป็นเหยื่อความอดอยากนับล้านคน”
กล่าวกันว่าประเทศตะวันตกหลังจากหลั่งน้ำตาจระเข้ออกมาในวิกฤตมนุษยธรรมแล้วก็ไม่ได้ทำอะไรที่จะหยุดยั้งการปิดกั้นเยเมนของซาอุดีอาระเบียแต่อย่างใด
เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำสหประชาชาติ Nikky Haley ในขณะที่กล่าวอ้างว่าอิหร่านใช้ขีปนาวุธต่อต้านซาอุดีอาระเบียมิได้กล่าวถึงชะตากรรมของชาวเยเมนหรือการปิดกั้นประเทศเยเมนโดยซาอุดีอาระเบียแม้แต่น้อย
ในขณะที่เรือรบของสหรัฐก็ตั้งมั่นอยู่ที่ชายฝั่งเยเมนเพื่อช่วยให้ซาอุดีอาระเบียปิดกั้นเยเมนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ปัจจุบันกองกำลังผสมที่หนุนโดยสหรัฐได้เพิ่มความรุนแรงในการโจมตีกบฏฮูษีซึ่งได้ผนึกกำลังเข้ามาในเมืองหลวง (ซานา) ของเยเมนหลังจากอดีตประธานาธิบดี อะลี อับดุลลอฮ์ ศอลิห์ (Ali Abdullah Salih) ซึ่งเคยสนับสนุนกบฏฮูษีในสงครามกลางเมืองครั้งนี้ได้หันไปอยู่ฝ่ายตรงข้ามและถูกกบฏฮูษีสังหารไปในที่สุด
กองกำลังของซาอุดีอาระเบียและพันธมิตรได้เข้าโจมตีที่ตั้งของฝ่ายกบฏติดต่อกันหลายครั้งทั้งในซานาและจังหวัดใกล้เคียง หลังจากบุตรชายของอับดุลลอฮ์ ศอลิห์ ประกาศจะทำการแก้แค้นให้บิดาผู้ล่วงลับของเขา
โทรทัศน์ อัล-มาซีเราะฮ์ (Al-Masirah) ซึ่งสนับสนุนฝ่ายกบฏ กล่าวว่ากองกำลังของซาอุดีอาระเบียและพันธมิตรได้เข้าถล่มบ้านของอับดุลลอฮ์ ศอลิห์ และบ้านอื่นๆ ที่เป็นสมาชิกของครัวหลังจากบ้านหลังดังกล่าวและบ้านที่อยู่ใกล้เคียงถูกฝ่ายกบฏเข้ายึดครอง
การถล่มทางอากาศยังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับจังหวัดต่างๆ ของทางเหนือ รวมทั้งตาอิซ (Taiz) ฮาจา (Haja) มิดี (Midi) และสะอาดะฮ์ (Saada)
กบฏฮูษีได้เข้าจับกุมเจ้าหน้าที่ทางทหารที่สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีผู้ล่วงลับไปนับ 10 คน หลายคนจบชีวิตลงอันเนื่องมาจากการถูกสังหาร
ศอลิห์เคยช่วยฝ่ายกบฏเข้าครองดินแดนทางเหนือจำนวนมากมาก่อน การตัดสินใจเปลี่ยนข้างของเขาและการละทิ้งฝ่ายกบฏก่อนจะถูกฝ่ายกบฏสังหารเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สุดในสงครามกลางเมือง 3 ปี ที่ยังหาทางออกไม่ได้
ในเวลาเดียวกัน MBS ยังได้รับการวิจารณ์อย่างหนักจากโลกมุสลิมเมื่อเขาเข้าไปมีความใกล้ชิดกับอิสราเอลโดยเปิดเผย
สำหรับโลกมุสลิมแล้วการมีความสัมพันธ์อย่างเปิดเผยระหว่าง MBS กับอิสราเอลเป็นเรื่องที่ยากจะเกิดขึ้นได้ แต่ซาอุดีอาระเบียหัวหอกของโลกซุนนีก็ได้ทำให้เห็นแล้ว ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโรฮานีของอิหร่านได้ออกมากล่าวในช่วงการประชุมเอกภาพที่กรุงเตหะรานครั้งที่ 31 โดยมีประเทศต่างๆ เข้าร่วมถึง 90 ประเทศ เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ปี 2016 ว่าประเทศในภูมิภาคและประเทศมุสลิมบางประเทศได้เปิดเผยออกมาอย่างโจ่งแจ้งถึงความสัมพันธ์ที่มีกับรัฐบาลอิสราเอล ซึ่งเป็นรัฐบาลที่เข้ายึดครองดินแดน (ของชาวปาเลสไตน์)
เขากล่าวต่อไปว่า ประเทศในภูมิภาคและประเทศมุสลิมบางประเทศไม่ได้รู้สึกอายต่อการยืนยันถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับอิสราเอล เขาเรียกพัฒนาการดังกล่าวว่าเป็นความ “ขมขื่น” สำหรับโลกมุสลิม ซึ่งเรื่องนี้ได้รับการรายงานโดยสำนักข่าว Press TV
รูฮานียังกล่าวต่อไปอีกว่า
“ในอดีตหากว่าประเทศใดแอบไปคุยและร่วมมือกับศัตรูในภูมิภาค พวกเขาก็จะได้รับการต่อต้าน”
“ความสัมพันธ์ดังกล่าวเป็นลางร้ายและน่ารังเกียจ ซึ่งไม่มีหัวหน้ารัฐใดจะเปลี่ยนอิสราเอลเป็นมิตร และ (อิสราเอล) ยังถูกต่อต้านในฐานะศัตรูของภูมิภาค”
เขาพูดปิดท้ายว่าช่วงเดือนสองเดือนที่ผ่านมา มีรายงานจำนวนมากปรากฏออกมาว่าซาอุดีอาระเบียได้ให้การยอมรับความสัมพันธ์กับอิสราเอลที่มีมากขึ้น
ซาอุดีอาระเบียและอิสราเอลไม่มีความสัมพันธ์ทางการพูด แต่เป็นที่รับทราบกันดีว่ามีความร่วมมือกันอย่างลับๆ ระหว่างประเทศทั้งสองมาจนถึงเวลานี้
จากที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นการเปลี่ยนแปลงในหลายด้านที่นำมาโดย MBS ซึ่งจะส่งผลกับการเปลี่ยนผ่านในซาอุดีอาระเบียเป็นอย่างมากนับจากนี้เป็นต้นไป