พลันที่ภาพเจ้าสำนัก”บ้านจันทร์ส่องหล้า”ไปปรากฏตัวพร้อมกับถ่ายภาพที่ร้านเป็ดย่างแห่งหนึ่งแห่งมหานคร

ได้ก่อให้เกิด”การเปลี่ยนแปลง”อย่างเร็วยิ่งใน”ข่าวสาร”

ต้องยอมรับว่าการปล่อย”ข่าวลือ” ไม่ว่าจะเป็นยืนยันว่าเจ็บป่วย จนไม่อาจไปแสดงตัว ณ เบื้องหน้าคำสั่งอัยการสูงสุดในข้อกล่าวหากรณีประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา 112

ไม่ว่าจะขยายในลักษณะบานปลายถึงขั้นไปแอดมินนอนโรงพยาบาลแห่งหนึ่งย่านพระราม 9 เรียบร้อยแล้ว

แม้จะเป็นข่าวปล่อยอันออกมาจาก”นายแพทย์”คนหนึ่ง แต่ก็สอดรับกับความเชื่อมั่นของอดีต”คนเสื้อแดง”บางคนที่ฟันธงว่าการนัดหมายในวันที่ 18 มิถุนายนจะถูกยกเลิก

แต่เมื่อเจ้าสำนัก”บ้านจันทร์ส่องหล้า”ปล่อยภาพนั่งอยู่กับเจ้าของร้าน”เป็ดย่าง”ลือชื่อ ผลสะเทือนอย่างฉับพลันก็คือ กระบวนการ”ปล่อยข่าว”หมดความหมายโดยสิ้นเชิง

การนำเอา”ความจริง”ออกมาให้ปรากฏจึงกลายเป็น”อาวุธ”อันทรงความหมายยิ่งในทางการข่าว ไม่ว่าจะมองในด้านการเมือง  ไม่ว่าจะมองในด้านการตลาด

ผลก็คือ พวกที่ออกโรง”ปล่อยข่าว”หน้าแตกแหกกันถ้วนหน้า

ทั้งๆที่รู้ว่ากระบวนการ”เต้าข่าว”อย่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบันแทบจะสิ้นความหมาย หากมีปฏิบัติการเอา”ความจริง”ลบล้างและบดขยี้“ความเท็จ”อย่างชัดเจนเป็นที่ประจักษ์

เหตุใดจึงมีการปล่อยข่าวลือออกมาอย่างไม่ขาดสาย ไม่ว่าในเรื่องการเมือง ไม่ว่าในเรื่องการตลาด

พื้นฐานของข่าวในลักษณะนี้คือการบิดเบือน ให้เข้าใจผิด

ยิ่งเป็นคนที่เคยทำงานรับใช้มาอย่างใกล้ชิด ยิ่งสร้างความน่าเชื่อถือ หรือแม้กระทั่งเคยเป็นปฏิปักษ์กันมาก่อนก็ยิ่งทำให้หูผึ่งเมื่อออกมาปล่อยข่าว

ไม่ว่าจะเป็นกรณี”ถุงขนมภาค 2”โดยมีฉากอยู่ฮ่องกง ไม่ว่าจะเป็นกรณีอาศัยวความเจ็บไข้ได้ป่วยเพื่อหลบเลี่ยงไม่ปรากฏตัวในที่สาธารณะอย่างมากด้วยเงื่อนงำ

เพียงออกมาปรากฏตัว เพียงปล่อยภาพที่ยืนยันการดำรงคงอยู่ทุกอย่างก็จบ

โลกยุคใหม่ในท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงด้านเทคโนโลยีผู้คนก็ยังตกเป็นเหยื่อของข่าวลือ ข่าวปล่อย ไม่ว่าเมื่อเดินทางไป”ภูเก็ต” ไม่ว่าเมื่อเดินทางไป”โคราช”

ในเมื่อ”บ้านจันทร์ส่องหล้า” เป็นเป้าหมาย ในเมื่อ”เพื่อไทย” เป็นพรรคการเมืองหลัก ในเมื่อการต่อกรระหว่าง”เพื่อไทย”กับศัตรูตั้งแต่ก่อนรัฐประหาร 2549 ยังเข้มข้น

การออกอาวุธในท่วงท่าแบบที่ไปกิน”เป็ดย่าง”ถือได้ว่ากุมพื้นที่ข่าว ทำลายความมุ่งร้ายหมายขวัญได้อย่างฉับไวยิ่ง