การทับซ้อนของความเจ็บปวด | วัฒน์ ยวงแก้ว : ประกวดเรื่องสั้นมติชนอวอร์ด 2024

การทับซ้อนของความเจ็บปวด | วัฒน์ ยวงแก้ว 

ประกวดเรื่องสั้นมติชนอวอร์ด 2024

 

ทวดเกิดปี 2475 อายุเก้าสิบสอง หนังเหี่ยวหุ้มกระดูก โหนกแก้มแหลม ตาลึก หนังหัวแซมหงอกไม่กี่เส้นเห็นเป็นรูปทรงกะโหลก นอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียงขนาดสามฟุตครึ่ง ความเจ็บปวดทรมานเหมือนระเหยออกมาปกคลุมรายรอบ เป็นภาพที่น่ากลัวและหดหู่ แต่เพียงแวบเดียวที่ฉันมองเข้าไปในแววตาที่เปิดค้างกลับรู้สึกผูกพันอย่างประหลาด

“นี่คือทวดของเธอ ชื่อเมียด เดี๋ยวจะบอกให้รู้ว่าต้องดูแลอย่างไรบ้าง” หญิงวัยกลางคนที่เรียกตัวเองว่าย่าใหญ่บอก หลังจากนำฉันขึ้นมาพบทวดบนเรือน ฉันไม่ได้ตอบอะไร แต่คงเผยสีหน้าและแววตากังวลออกไป เธอจึงพูดต่อ “ทำได้อยู่แล้วแหละ อายุตั้งสิบสี่แล้ว แค่จัดการบ้านเรือน ป้อนอาหาร ดูแลเรื่องขี้เยี่ยว ส่วนเรื่องซักผ้ากับอาหารการกิน ให้พวกญาติคนอื่นเขาทำ”

ฉันพยักหน้ารับ แม้ยังนึกไม่ออกเลยว่าจะจัดการทั้งหมดนั้นได้อย่างไร นี่ไม่ใช่โลกที่คุ้นเคย แต่บัดนี้มันกลายเป็นโลกของฉันแล้ว

บ้านไม้ทรงไทย ฝากระดานเก่าซีด อยู่ลึกเข้ามาในสวนผลไม้ สูงครึ้ม อึมครึม ตั้งแต่ทางเข้า ตอนที่รถตู้ของมูลนิธิเข้ามาจอด มีคนนั่งรออยู่ใต้ถุนเกือบสิบคน ทุกสายตาจับจ้องมาที่ฉัน เจ้าหน้าที่คุยกับย่าใหญ่และสามี เนื้อความส่วนใหญ่ตามที่เป็นข่าว เจ้าหน้าที่คนหนึ่งยื่นเอกสารปึกใหญ่ให้ อีกคนไปเตร็ดเตร่ดูรอบบ้าน ก่อนเดินกลับมาสอบถามข้อมูลนี่นั่น

“ใช่ค่ะ เด็กจะอยู่ที่นี่กับทวด แต่ฉันกับญาติคนอื่นผลัดกันมาดูแลทุกวัน บ้านฉันอยู่ตรงปากทางเข้าสวนนี่เอง เดินห้านาทีถึง ลูกหลานก็อยู่หย่อมเดียวกันทั้งนั้นสามสี่หลัง” ย่าใหญ่พูด

“ส่วนเรื่องโรงเรียน เดี๋ยวใกล้โรงเรียนเปิด ผมจะไปติดต่อ ให้อยู่โรงเรียนใกล้บ้านกับพวกหลานๆ นี่แหละ จะได้ไปรับส่งพร้อมกัน” สามีย่าใหญ่เสริม

หลังจากเจ้าหน้าที่กลับไป ย่าใหญ่เริ่มแนะนำ สามีย่าใหญ่ชื่อปู่ทิน ย่าใหญ่เองชื่อพา เป็นพี่คนโต ให้เรียกว่าย่าใหญ่ตามหลานคนอื่น ทวดมีลูกสาวสามคน คนกลางชื่อพร เป็นครู ย้ายไปอยู่ภาคเหนือนานแล้ว ไม่ค่อยได้ติดต่อกัน ส่วนย่าของฉันเป็นลูกคนเล็ก ชื่อพรรณ อยู่กับเรือนดูแลทวด ย่าตายไปเมื่อปี 2557 มีลูกคนเดียวคือพ่อ หลังจากนั้นจึงแนะนำคนอื่น คนนั้นอา คนนี้พี่ ทั้งหมดเป็นลูกหลานย่าใหญ่ แต่ฉันจำไม่ค่อยได้ จำได้เพียงป้าณี ที่ช่วยดูแลทวดอยู่ก่อนหน้า ป้าณีมีบ้านอยู่ปากทาง แต่ต้องปลีกเวลามาอยู่ดูแลทวดด้วย ป้าณีบอกว่าดีแล้วที่ฉันมา ได้กลับไปอยู่กับครอบครัวบ้าง จะมาช่วยได้บ้างตอนกลางวัน กับบางคืนที่ไม่กรีดยาง

ฉันยังงุนงงกับโลกใบใหม่ ทั้งสถานที่และวิถีชีวิต รวมถึงการมีญาติมากมายโผล่เข้ามา โลกที่ฉันรับรู้เพียงจากคำบอกของแม่สั้นๆ พ่อเป็นคนใต้ ตายในเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 2553 ก่อนฉันเกิดไม่กี่วัน

…พ่อของฉันมีตัวตนอยู่จริง

 

ย่าใหญ่เล่าเรื่องราวให้ฟังเพิ่มขณะพาฉันดูทั่วเรือน ทวดชายตายช่วงเดียวกับที่ย่าพรรณของฉันเกิด ปี 2516 ทวดเมียดจึงดูแลลูกสาวสามคนมาด้วยตัวคนเดียว เป็นทั้งพ่อและแม่ ทำงานในสวนเหมือนผู้ชาย โชคดีมีเรือนกับที่ดินตกทอดมาให้ทำกิน ย่าใหญ่ในฐานะพี่คนโตออกจากโรงเรียนมาช่วยแม่ แต่งงานออกเรือนแล้วยังช่วยส่งเสียน้องคนกลางเรียนจนจบ สอบได้เป็นครูไปอยู่นครสวรรค์และสร้างครอบครัวที่นั่นตั้งแต่นั้น ส่วนย่าของฉัน ลูกคนเล็กให้อยู่บ้านดูแลแม่

ฉันได้รู้เรื่องราวพ่อของตัวเองมากขึ้นด้วย เขาเกิดและเติบโตในเรือนหลังนี้ เป็นหลานหัวแก้วหัวแหวนของทวด นอนกับทวดจนโตเป็นหนุ่ม ผิดพลาดเพราะคึกคะนองไปกับเพื่อนในช่วงวัยรุ่น โดนไปอยู่สถานพินิจสองปี หลังจากออกมา ไม่ได้เรียนหนังสือแล้ว ขอออกไปหางานทำ ทุกคนช่วยกันห้ามก็ไม่ฟัง รู้ข่าวเป็นช่วงๆ ย้ายจากสวนทุเรียนที่ชุมพร ไปอยู่แพปลาสมุทรสาคร และท้ายสุดอยู่โรงงานเสื้อผ้าแบรนด์ดังแถวลาดกระบัง ก่อนจะเสียชีวิตในปี 2553

ย่าพรรณล้มป่วยกระเสาะกระแสะจากวันนั้น สี่ปีที่พยายามรักษา ทั้งหมอปัจจุบัน หมอบ้านและหมอไสย ก็ไม่หาย จนปี 2557 ย่าเสียชีวิตลง ทวดจึงเหลือตัวคนเดียว ลูกหลานคนอื่นต้องเข้ามาช่วยดูแล คนหลักคือป้าณี แต่ตอนนั้นทวดยังแข็งแรงดี เดินเหินคล่อง นอนคนเดียวได้

จนเมื่อปีที่แล้วนี้เอง อาการทรุดฮวบไม่มีสาเหตุ หมอวินิจฉัยว่าเป็นโรคชรา ทวดไม่ยอมกินอาหาร ทำให้ร่างกายอ่อนแอ ต้องป้อนอาหารเหลวพอประทัง จึงผอมเหมือนโครงกระดูกแนบติดเตียง ทั้งวันทวดหลับเสียเป็นส่วนใหญ่ ตื่นเพียงช่วงสั้นๆ แต่ยังพอรู้ความ ไปหาคนเข้าทรงบอกว่า ทวดสิ้นอายุขัยแล้ว แต่ตายไม่ได้เพราะ “ผีเหนียด”

“เธอคงไม่เคยได้ยิน แต่มันเป็นความเชื่อของคนแถบนี้ ตอนที่พ่อของทวดมายกเรือน เพียงแค่ขุดดินเพื่อลงเสา ท่านก็ป่วยเดินไม่ได้ หมอผีบอกว่า ดินผืนนี้มีวิญญาณโบราณ เป็นคนเล่นของ เขาตายไปนานแล้ว แต่ยังหวงพื้นที่ ไม่ยอมไปเกิด หมอผีบอกอีกว่า วิญญาณนั้นให้ตั้งหิ้งบูชา เซ่นเหล้าหนึ่งขวดกับไก่ตัวหนึ่งให้กินทุกปี หากคนที่รับดูแลตาย ต้องยกให้คนอื่นรับช่วงต่อ ไม่เช่นนั้นเขาจะลงโทษ คล้ายผีเจ้าที่ แต่นี่หนักกว่าขออยู่บนเรือนเหมือนผีกะ หลานหลายคนอาสารับดูแลต่อ เพื่อให้ทวดได้จากไปอย่างสงบ แต่ทวดของเธอนั่นแหละไม่ยอมยกให้ใคร ที่จริงแค่พยักหน้าให้ ก็พอแล้ว ถ้าแกไม่ให้ ผีนั้นก็ไปอยู่กับใครไม่ได้ เธออาจคิดว่าเรื่องแบบนี้งมงาย แต่เดี๋ยวอยู่ก็รู้เองแหละ”

ขณะที่ย่าใหญ่เล่า ฉันเหลือบมองรูปที่แขวนเรียงรายอยู่ข้างฝา ย่าใหญ่จึงชี้ไปทีละคน รูปวาดขาวดำชายร่างท้วมมีหนวดนั้นคือทวดทอง ส่วนหญิงวัยกลางคนนัยน์ตาดุคือย่าพรรณ และชายหนุ่มหน้าคมผมหยิกคือพ่อธัช ย่าใหญ่เดินนำมาที่ผนังห้องครัว ชี้ให้ดูหิ้งเล็กๆ มีห่อผ้าสีขาวสกปรก กระป๋องนมอะลูมิเนียมขึ้นสนิม และขวดเหล้าหยากไย่เกาะ บอกว่าคือ หิ้งผี ทวดรับช่วงมาตั้งแต่ยังสาว แต่หลังจากทวดทองตายในสมัยคอมมิวนิสต์ ทวดเมียดก็ไม่เคยจัดการอะไรกับหิ้งผีเหนียดอีกเลย

“นั่นแหละที่หมอผีว่า ผีเหนียดไม่ยอมให้ทวดตาย แม้จะสิ้นอายุขัยแล้ว”

“แล้วหนูต้องทำอะไรบ้างคะ”

“ไม่ต้องทำอะไร เอ่อ แต่จะว่าไป ในฐานะที่เธอต้องอยู่ที่นี่ต่อไป ถ้าทวดรู้สึกตัว ก็บอกไปว่า ขอผีเหนียดให้หนูไว้เอง เพียงให้แกพยักหน้ารับก็พอ เออ แต่ถ้าเห็นอะไรผิดปกติ โทรตามฉันทันทีนะ”

ฉันขนลุกที่ได้ยิน ผิดปกติที่ว่าคืออะไร ฉันตอบตัวเองไม่ได้ ไม่เชื่ออะไรทำนองนี้ แต่ฉันก็กลัวผี

 

สองคืนแรกป้าณีมานอนเป็นเพื่อน สอนฉันถึงขั้นตอนวิธีการดูแลทวด การป้อนข้าว พลิกตัวกันแผลกดทับ เช็ดตัว เปลี่ยนผ้าอ้อม ลูกเล็กสองคนของป้าณีมานอนด้วย ปูเสื่อหน้าทีวี ส่วนเตียงนอนของฉันเคียงติดกับเตียงทวด จะได้ดูแลใกล้ชิด ฉันรีบหลับตั้งแต่ยังได้ยินเสียงเด็กเล่นกัน ป้าณีบอกว่า ดูแลคนแก่ต้องหูไว นอนหลับลึกไม่ได้ รุ่งเช้ามีญาติมาส่งสำรับอาหาร เก็บเสื้อไปซัก มื้อเย็นมาส่งอีกที

ค่ำคืนที่ฉันต้องนอนกับทวดสองคน ไม่อยากปิดไฟ แต่ป้าณีบอกให้เปิดแค่ไฟหน้าบ้าน แสงลอดเข้ามาเพียงพอให้มองเห็น ไม่แสบตา ทวดนอนหงายนิ่ง ร่างโครงกระดูกหน้าอกไหวกระเพื่อม ฉันหันตะแคงเข้าข้างฝา เงี่ยหูฟัง ทวดไอเป็นจังหวะ ข่มตาให้หลับ พยายามไม่คิดเรื่องในอดีตของตัวเอง จึงเหลือเพียงเรื่องเดียว เรื่องที่ย่าใหญ่เล่า รู้สึกเหมือนมีสายตาจับจ้อง จากรูปในฉาก จากหิ้งบนฝาผนังครัว จากนอกบ้านที่ห่มคลุมด้วยป่า เหมือนจะเคลิ้มหลับไป สะดุ้งตื่น สายตานั้นยังจับจ้อง พลิกตัวกลับ เผลอกรี๊ดออกมา ทวดเอียงหน้าจ้องมองอยู่

“ใคร” เสียงแหบปล่อยออกจากปากเหี่ยวย่น ฉันรวบรวมสติ นึกถึงคำพูดย่าใหญ่ บางทีทวดก็รู้สึกตัว

“หนู ลูกของพ่อธัช เหลนของทวด” ฉันบอก

ทวดพยายามพยักหน้าแสดงอาการรับรู้ ในความสลัว ดวงตาทวดยังจ้องนิ่งมาที่ฉัน น้ำตาไหลลงหางตา แม้ใบหน้าทวดจะดูน่ากลัว แต่ฉันรับรู้ได้ถึงความรักความอบอุ่น

ฉันหลับตาลง ต่อไปจะหันหน้ามาทางทวด

 

ตื่นขึ้นตอนเช้า ทวดหลับตานิ่ง ไม่รู้สึกตัว ฉันเช็ดตัวเปลี่ยนผ้าอ้อมให้อย่างทุลักทุเล ระหว่างที่รอญาตินำสำรับอาหารมาให้ มีเวลานั่งทบทวนความฝันและเหตุการณ์คืนที่ผ่านมา ช่างชัดเจนเหมือนจริง หญิงสาวหน้าตาดี ในชุดกระโปรงยาวสีขาว ฉากค่อนข้างมืด แม้ในฝันจะเป็นกลางวัน เธอยืนมองอยู่ตรงปลายเตียง แววตามีประกายยิ้ม ฉันไม่รู้สึกกลัว เธอกวักมือเรียก ฉันลุกขึ้น พบว่านอนอยู่คนเดียว เดินตามเธอไป เป็นบ้านกั้นฟากติดพื้นดิน แต่โครงสร้างภายในเหมือนบ้านเรือนไทย ผ่านฝาผนังห้องครัว ฉากฝันมืดลงฉับพลัน หางตาเห็นเงาดำทะมึนยืนอยู่ หญิงสาวหันหน้ามา ฉันเข้าใจความหมายได้จากสายตา อย่าหันมอง เธออยากให้ฉันเดินตามออกไปโดยเร็ว ถึงประตูหลังบ้านที่เปิดอยู่ เห็นท้องทุ่งมีแต่ซางข้าวซีด ทวดอยู่ที่นั่น เด็กน้อยในห่อผ้าอ้อม ในฝันฉันรู้ นั่นคือทวด สายตาของหญิงสาวบอกให้ไปพาทวดกลับมา ฉันรู้สึกตอนนั้น เด็กน้อยอาจเป็นลูกของหญิงสาว ฉันทำตาม แต่เมื่อก้าวขาพ้นชานเรือน ตกใจวูบ รู้สึกว่าหากก้าวไกลออกไป ฉันจะขาดออกจากร่างที่นอนอยู่ ฉันจะตาย ตื่นกลับขึ้นมาในร่างกาย ทวดยังลืมตามอง ฉันเรียก “ทวด” ทวดครางออกมา และพูด

ธัช รัก ตาย รัก คือคำที่ท่านพยายามเค้นออกมาอย่างยากลำบากทีละคำ น้ำตาซึมลงหางตา ไม่รู้ความหมาย แต่ฉันรู้สึกปลอดภัย หลับตาลงอีกครั้ง ตื่นขึ้นในตอนเช้า พบทวดแน่นิ่งอยู่ในสภาพเดิม ฉันเล่าให้ย่าใหญ่กับป้าณีฟัง เรื่องความฝันและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“ไม่มีอะไรหรอก แค่ความฝัน แต่ถ้าฝันอีก ก็อย่าออกไปแล้วกัน เดี๋ยวกลับมาไม่ได้” ย่าใหญ่บอก ขณะเหลือบตามองป้าณี มีแววกังวล “แต่ก็ดีแล้วแหละ แค่ฝัน” ป้าณีเสริม นั่นไม่ช่วยให้ฉันสบายใจขึ้นเลย ส่วนเรื่องที่ทวดรู้สึกตัวขึ้นมาพูด ย่าใหญ่บอกว่าเป็นเรื่องปกติ ทวดมักพูดถึงคนที่ทวดรัก

เหตุการณ์คล้ายเดิมในอีกหลายคืนต่อมา สิ่งที่เปลี่ยนไปมีเพียงฉันก้าวเท้าออกจากบ้านได้ไกลขึ้นก่อนจะตกใจตื่น ในความฝัน ฉันคุ้นว่ามีคนสั่งไม่ให้ออกไป แต่ฉันรู้ หญิงสาวในความฝันไม่ได้เจตนาร้าย และเด็กในห่อผ้าอ้อมคือทวด จึงก้าวออกไปไกลกว่าเดิมทุกครั้ง ก่อนจะตกใจตื่นขึ้น เจอทวดมองอยู่ คำพูดทวดเปลี่ยนไปบ้างเช่นกัน ทอง รัก ตาย พรรณ ตาย ผัว ตาย คอม รัก ไม่

ฉันเล่าให้ย่าใหญ่กับป้าณีฟังอีก เว้นแต่เรื่องที่ฉันออกไปนอกบ้านได้ไกลขึ้น ย่าใหญ่บอกว่า ทวดคงนึกถึงเรื่องราวในอดีต เล่าต่อว่า สมัยนั้นเกือบทุกบ้านแถบนี้เป็นคอมมิวนิสต์ ทวดทองต้องเข้าป่าเหมือนคนอื่น ทวดเมียดอยู่เป็นแนวร่วมที่บ้าน ตอนที่รู้ข่าวว่าค่ายบนเขาถูกโจมตี ทวดทองตาย ทวดเมียดนั่งกุมท้อง ลูกหลงเมื่ออายุมาก จ้องมองไปข้างหน้าแน่นิ่ง ขบกรามอย่างเคียดแค้น น้ำตาไหลเป็นทาง ไม่กี่วันหลังจากนั้น ทวดคลอดย่าพรรณ ย่าของฉัน

ในปี 2516 อย่างที่ย่าใหญ่เคยเล่า ย่าของฉันเป็นลูกสาวคนเล็ก ตั้งใจให้อยู่กับบ้านดูแลทวด ทรัพย์สินเดิมที่มีคงพออยู่ได้ แต่พอจบ ม.6 ย่าหนีตามนักศึกษามหาวิทยาลัยจากกรุงเทพฯ ที่มาออกค่ายอาสาพัฒนาโรงเรียน ไปอยู่ได้ไม่ถึงเดือน รู้สึกผิด คิดถึงบ้าน กลับมาขอโทษ พาแฟนมาด้วย ไม่มีใครโกรธ ขอแค่กลับมา ฝ่ายชายบอกว่า รอให้เรียนจบจะมาสู่ขอให้ถูกต้อง แต่หลังจากนั้นท้องก็ใหญ่ขึ้น ฝ่ายชายยังส่งจดหมายมายืนยัน จะรับผิดชอบทุกอย่าง ขอแค่เรียนจบอีกไม่ถึงปี

แต่ไม่ทันถึงเวลานั้น ย่าดูโทรทัศน์ เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 มีรายชื่อเขาเป็นหนึ่งในผู้เสียชีวิต ย่าอุ้มท้องแก่ ร่ำไห้สลับพูดหัวเราะคนเดียวเหมือนเสียสติ แต่ไม่กี่วันหลังจากนั้น เมื่อคลอดพ่อแล้วก็หายเป็นปกติ

ส่วนทวด ทั้งวันเอาแต่นั่งนิ่ง จ้องมองไปข้างหน้า ขบกรามอย่างเคียดแค้น น้ำตาไหลเป็นทาง ทวดตอบสนองต่อความเจ็บปวดด้วยท่าทีแบบนั้นเสมอ เช่นเดียวกับตอนที่พ่อธัชและย่าพรรณตาย

และอีกเรื่องที่ฉันไม่ได้เล่า ตอนที่ทวดรู้สึกตัวตอนดึก ฉันเคยบอก “ทวด ขอผีเหนียดให้หนูนะ” ทวดเค้นเสียงตอบ “ไม่” ด้วยแววตาข้น

 

ฉันจ้องมองดูรูปบนฝาผนัง ทวดทอง ย่าพรรณ พ่อธัช แต่ไม่มีรูปปู่ ตระหนักความจริง พวกเขาคือที่มาของชีวิตฉัน เริ่มรู้สึกถึงความคุ้นเคย หันกลับไปมองดูใบหน้าทวด ซูบตอบเห็นกระดูก คิดถึงคำพูดย่าใหญ่ ใบหน้านั้นผ่านทุกความเจ็บปวด ด้วยการจ้องมองแน่นิ่ง ขบกรามอย่างเคียดแค้น น้ำตาไหลเป็นทาง ฉันเหมือนเข้าใจความรู้สึกนั้น

ฝันเหมือนเดิม หญิงสาวนำทางมาที่ประตูหลังบ้าน ฉันเรียนรู้ที่จะเพิกเฉยกับเงาดำน่ากลัวนั้นแล้ว แม้ไม่รู้เหตุผล แต่ฉันตั้งใจแน่วแน่ จะพาทวดกลับมาให้ได้ ฉันไม่กลัวความตาย ฉันผ่านความตายมาแล้ว เท่าความคิด เพียงแค่ตั้งใจและกล้าหาญ ฉันอุ้มเด็กหญิงในห่อผ้าอ้อมแนบอก เดินกลับเข้าบ้าน หญิงสาวยิ้มชื่นชม ทว่าเมื่อผ่านผนังห้องครัว ร่างดำทะมึนนั้นพรวดออกมาฉกทวดในห่อผ้าอ้อม สัณฐานตัวตนก่อจากกลุ่มควันหนาแน่น ดวงตาแดงก่ำ ฉันยื้อสุดชีวิต แต่ทานกำลังไม่ได้ กำลังจะเพลี่ยงพล้ำ จนมีอีกหลายมือยื่นเข้ามาช่วย มองดูไม่ใช่ใบหน้าของหญิงสาว แต่คือพ่อ ทวด ย่า ที่เคยเห็นในรูป รวมถึงควันสีเทาจางอีกหลายมือ พวกเขานั่นเองคือหญิงสาว ท้ายสุดฉันได้ตัวทวดมา วิ่งกลับมาบนที่นอน เด็กน้อยจ้องหน้านิ่งขณะฉันกล่อม รู้สึกตัวเองกลายเป็นหญิงสาวคนนั้น และกลายเป็นแม่ แต่ทันใดใบหน้าทวดในห่อผ้าอ้อมเปลี่ยนไป กลายเป็นบึ้งตึง น้ำตาไหล แววตาขุ่นข้น ฉันตกใจตื่นออกจากความฝัน

แต่ยังตื่นไม่เต็มที่ เป็นสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น เห็นทุกอย่าง สติและความทรงจำครบถ้วน แต่ขยับตัวไม่ได้ นึกถึงคำพูดป้าณี “ยังดีที่แค่ฝัน” นี่กระมังที่มากกว่าความฝัน พลันเห็นบนร่างของทวดมีเงาดำทะมึนนั่งคร่อม สองมือบีบอยู่ที่คอ ฉันพยายามเพ่งมองเพื่อให้แน่ใจว่าตาไม่ฝาด นี่ไม่ใช่ความฝัน ดูทีหนึ่งเหมือนเงาจากเสื้อผ้าด้านหลัง แต่มองอีกทีฉันก็แน่ใจว่าเป็นมัน พยายามลุกขึ้นนั่งและเอื้อมมือออกไปดึงร่างนั้นออก เหมือนจะทำได้ แต่พบว่าร่างกายยังนอนอยู่ที่เดิม พยายามอีก เหมือนเดิม ฉันจำได้ถึงความฝันที่เดินออกไปอุ้มเด็กน้อยกลับมา มันคือโลกของความรู้สึก รวบรวมสติ ตั้งใจแน่วแน่ พรวดลุกขึ้นทันที โดยไม่ต้องคำนึงถึงร่างกาย ฉันคว้าคอมันได้ เหวี่ยงสุดแรงออกจากตัวทวด

พร้อมกับจังหวะที่มันหลุดออกมาคร่อมตัวฉันที่นอนอยู่ด้านข้าง เหมือนถูกดึงกลับเข้าร่าง รู้สึกอ่อนเพลีย สิ้นเรี่ยวแรง หายใจติดขัด พยายามดิ้นแต่ไม่เป็นผล ตัวตนดำมืดที่ทับอกอยู่นั้นหนักและมือใหญ่ของมันแข็งแรงเกินไป ควบคุมทุกส่วนของตัวฉัน ชำเลืองดูทวด นอนหงาย ตาเพ่งนิ่งขึ้นด้านบน เม้มปากแน่น น้ำตาไหลลงจากหางตา

ความทรงจำไหลเข้าสู่ตัวฉัน ฉันจำแววตานั้นได้ แววของทวดตามที่ย่าใหญ่เล่า แววตาของฉัน และแววตาแดงก่ำของมัน ในความทรงจำของฉันเอง

 

มันแค่เรื่องน้ำเน่าที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกในสังคม หลังจากพ่อตายไม่ถึงสิบวันแม่ก็คลอดฉันในเดือนพฤษภาคม ปี 2553 และได้มันเป็นสามีใหม่ตอนฉันสี่ขวบพอดี แรกทีเดียวมันทำเป็นอยากดูแล บอกว่าเราอยู่กันเองลำบาก แต่ไม่นานธาตุแท้ออก ดุด่าทุบตีฉันกับแม่ เราทำอะไรก็ผิด ถูกตบถูกฟาด ตั้งแต่ยังเล็กฉันเคยถูกขังในห้อง ปล่อยให้อดอาหารสองวัน แม่ได้แต่เงียบ ทำได้เพียงปลอบโยน แต่ไม่เคยปกป้องฉันได้ ฉันเจ็บปวดทั้งกายและใจ แต่ยังไม่ตาย จนอายุสิบสาม ร่างกายเข้าสู่วัยสาว มันเข้าหาฉันในห้อง ทับร่างฉันไว้ กดแขนฉันลง ฉันร้องสุดเสียง ฉันรู้ แม่ได้ยินฉัน แต่ไม่เปิดประตูเข้ามา ฉันพยายามดิ้น ไม่เป็นผล สิ้นไร้เรี่ยวแรง จนมันยัดเยียดตัวตนของมันเข้ามา ฉันตาย จ้องเพดานนิ่ง ขบกรามแน่น ปล่อยน้ำตาไหล เสร็จเรื่องมันเดินออกประตูไป ฉันเห็นแม่ชำเลืองมา สีหน้าเศร้า แต่เดินผ่านไป ฉันยังจ้องเพดานนิ่ง ขบกรามแน่น ปล่อยน้ำตาไหล

ฉันได้ตายไปแล้ว ไม่หรอก ฉันเจ็บปวดยิ่งกว่าความตาย ต้องทนอยู่เช่นนั้น ซ้ำแล้วซ้ำอีก ทำได้เพียง จ้องเพดาน ขบกรามแน่น ปล่อยน้ำตาไหล จนถึงวันที่ตัดสินใจเด็ดขาด มีดปอกผลไม้จากในครัว สอดไว้ใต้ที่นอน เป็นครั้งแรกที่ฉันจ้องเข้าในดวงตาของมัน ขบกรามแน่น ปล่อยน้ำตาไหล รอจนมันถึงจุดหมาย ครวญคราง สูญเสียการควบคุมตนเอง ฉันเห็น เห็นแววตาเคียดแค้นของตัวเอง ควานมีดออกมา เหวี่ยงสุดแรง ปักเข้าไปที่คอ ปัก ปัก ปักออกไปอีกไม่เลือกที่

ถ้ามันคือภูตผีที่ไม่ยอมตาย เพราะยังอยากครอบครอง อยากตอบสนองความต้องการแห่งตัวตน โดยการกดขี่ข่มเหงคนอื่น มันก็แค่ไอ้ขี้ขลาด ฉันผู้ผ่านความตายมาแล้ว ไม่มีอะไรต้องหวั่นเกรง ฉันจ้องเข้าไปในดวงตาแดงก่ำของร่างดำทะมึนนั้น ฉันรู้ดี นี่คือโลกแห่งจิตวิญญาณและความรู้สึก ฉันรู้สึกถึงมีดในมือ เหวี่ยงออกไปสุดแรง ร่างนั้นสลายหายไป

ฉันตื่นเต็มตา สู่โลกแห่งความจริงโดยสมบูรณ์ ทวดหันตะแคงมองฉันอยู่ “ทวดให้ผีเหนียดกับหนูนะ” ฉันขออีกครั้ง ทวดหลับตาพยักหน้าเล็กน้อย เพียงเท่านั้น ฉันลุกขึ้นเปิดไฟสว่างโร่ เดินไปที่ผนังห้องครัว เขย่งตัวเอื้อมมือถึงพอดี ดึงหักหิ้งผีลงมากองอยู่ที่พื้น ห่อผ้าขาว กระป๋อง และขวดเหล้าเก่า กลิ้งเกลื่อนกระจาย ฉันเดินกลับมาที่นอน มั่นใจว่าตาไม่ฝาด เห็นประกายยิ้มในดวงตาทวด

ถึงตอนเช้า ทุกคนแปลกใจเมื่อเห็นทวดฟื้นตัว ใบหน้าสดชื่น และเอ่ยปากขอข้าวแกงส้ม ป้าณีวิ่งหน้าตาตื่น บอกหิ้งผีหล่นลงมา ฉันจึงเล่าเรื่องราวให้ฟัง และบอกว่าเหตุผลที่ทวดไม่ยกมันให้ใคร ไม่ใช่เพราะหวง เพียงไม่อยากให้ไปทำร้ายลูกหลานคนไหนอีก แต่เมื่อทวดยกให้ฉันแล้ว ฉันจึงทำอย่างที่ควรทำ

“หนูเชื่อว่าหนูแข็งแกร่งพอค่ะ” ฉันยืนยัน ขณะที่ช้อนสายตาขึ้นมองรูปบนผนัง •