ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 14 - 20 มิถุนายน 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
เมื่อ 10 มิถุนายนที่ผ่านมา โจช โรกิน คอลัมนิสต์ของวอชิงตันโพสต์ หนังสือพิมพ์อเมริกันชื่อดัง เผยแพร่บทความที่น่าสนใจมากชิ้นหนึ่ง อันเป็นผลสืบเนื่องจากการสนทนา “นอกรอบ” ระหว่างโรกิน กับ พล.ร.อ.แซมมวล ปาปาโร ผู้บัญชาการกองทัพสหรัฐอเมริกาประจำภาคพื้นอินโด-แปซิฟิก คนใหม่ ในระหว่างงานประชุมทางด้านความมั่นคงประจำปี “แซงกรีลา ไดอะล็อก” ที่สิงคโปร์
หัวข้อสนทนาของทั้งสองน่าสนใจมาก นั่นคือถ้าหาก ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ตัดสินใจดำเนินการอย่างที่เคยประกาศไว้ต่อกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (พีแอลเอ) ให้พร้อมสำหรับการใช้กำลังเข้าจัดการกับไต้หวันเพื่อยึดกลับคืนมาเป็นของจีนให้ได้ภายในปี 2027
หากเป็นเช่นนั้น รูปการณ์จะเป็นอย่างไร จีนจะทำอีท่าไหน แล้วไต้หวันและพันธมิตรอย่างสหรัฐอเมริกาจะทำอย่างไร
ในทัศนะของ พล.ร.อ. ปาปาโร นั้น สิ่งที่ทางการจีนกำหนดเอาไว้ก็คือ ทำอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้ให้ประสบผลตามความต้องการให้สมบูรณ์แบบที่สุด ใช้เวลาสั้นที่สุด กว่าทั้งโลกจะตั้งหลักเพื่อตอบโต้ได้ ทุกอย่างก็จบสิ้นลงไปแล้ว
เขาเชื่อว่า ยุทธวิธีของจีนก็คือ ใช้กำลังที่เหนือกว่าในทุกๆ ด้าน โจมตีไต้หวันขนานใหญ่โดยไม่จำเป็นต้องเตือนล่วงหน้า หรือเตือนล่วงหน้าในระยะเวลากระชั้นสั้นเอามากๆ เพราะเขาเชื่อว่า ประธานาธิบดีจีนคงไม่ต้องการเดินซ้ำรอยวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียที่ล้มเหลวในการโจมตีครั้งแรกๆ ต่อยูเครนจนทำให้ศึกยูเครนยืดเยื้อมาจนถึงทุกวันนี้
“หน้าที่ของผมก็คือ ทำให้แน่ใจว่า ระหว่างเวลานี้ไปจนถึงปี 2027 และต่อไปหลังจากนั้น กองทัพอเมริกันและพันธมิตรจะมีศักยภาพเพียงในการเอาชนะศึกหนนี้ได้” พล.ร.อ.ปาปาโรกล่าว
ถ้ายุทธศาสตร์ของจีนคือการทุ่มกำลังมหาศาลเข้าโจมตีทุกทิศทุกทาง เพื่อให้บรรลุผลในระยะเวลาสั้นๆ ปิดทางตอบโต้ใดๆ โดยสิ้นเชิงแล้ว สหรัฐอเมริกาและพันธมิตรจะทำอย่างไร
ปาปาโรระบุว่า จริงๆ แล้ว แผนจริงจังที่เป็นเหมือนแผนเอของฝ่ายตนก็คือ ทำทุกอย่างเพื่อ “ป้องปราม” ไม่ให้จีนตัดสินใจใช้กำลังบุกยึดไต้หวัน โดยทำให้ไม่สามารถมั่นใจได้ว่าจะประสบความสำเร็จแบบเบ็ดเสร็จในระยะเวลาอันสั้น อย่างไรก็ตาม หากแผนแรกไม่เป็นผลและจีนเกิดตัดสินใจใช้กำลังทหารเข้าจริงๆ ฝ่ายตนก็มีแผนยุทธการเอาไว้ตอบโต้เช่นเดียวกัน ในกรณีที่เกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นจริง เป็นยุทธศาสตร์ที่รู้จักกันในชื่อ “เฮลล์สเคป”
“ผมจะเปลี่ยนช่องแคบไต้หวันให้เป็นนรก โดยปราศจากมนุษย์ โดยอาศัยศักยภาพที่ยังอยู่ในชั้นความลับจำนวนมากเข้าจัดการ” ปาปาโรระบุ
โจช โรกิน ตีความคำบอกของปาปาโรเอาไว้ว่า ในทันทีที่จีนเคลื่อนกำลังพลมหาศาลเข้าสู่พื้นที่ช่องแคบๆ ความกว้างราว 160 กิโลเมตรระหว่างจีนกับไต้หวัน กองทัพอเมริกันก็จะส่งกองกำลัง “โดรน” ทั้งหลายทั้งในรูปแบบของเรือผิวน้ำปราศจากคนบังคับ, เรือดำน้ำโดรน และอากาศยานโดรน นับหมื่นๆ ลำเข้าเผชิญเหตุ
เป้าหมายไม่ได้เพื่อเอาชนะ หากแต่เป็นการ “ซื้อเวลา” เพื่อให้ทั้งทางไต้หวัน สหรัฐอเมริกาและกองกำลังของชาติพันธมิตรอื่นๆ มีเวลาเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือหรือตอบโต้
“ผมเชื่อว่า ยุทธวิธีนี้สามารถทำให้กองทัพจีนอึดอัด ขมขื่นใจอยู่ได้นานเป็นเดือน ทำให้ผมมีเวลาเหลือเฟือสำหรับการดำเนินการที่เหลือทั้งหมด” ปาปาโรกล่าว ก่อนจะย้ำว่า ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดใดๆ ได้ว่า แผนนี้มีอะไรเป็นองค์ประกอบอยู่บ้าง “แต่ทั้งหมดเป็นความจริง และเป็นไปได้”
โจช โรกิน ชี้ให้เห็นว่า ที่ผ่านมามีสัญญาณที่ปรากฏต่อสาธารณะบางอย่าง ที่แสดงให้เห็นว่า “เฮลล์สเคป” มีอยู่จริงและกำลังดำเนินไปชนิด “แข่งกับเวลา”
เขาระบุว่า เมื่อเดือนมีนาคม กระทรวงกลาโหมสหรัฐประกาศแผนพัฒนาโปรแกรมทางทหารแผนหนึ่งเรียกว่า “เรพลิเคเตอร์” ที่เป็นแผนพัฒนายุทโธปกรณ์ไร้คนบังคับ ทั้งที่เป็นเรือผิวน้ำและอากาศยาน
ปาปาโรให้ความเห็นเพิ่มเติมว่าโปรแกรม “เรพลิเคเตอร์” เป็นเครื่องยืนยันว่า กองทัพอเมริกันเรียนรู้บทเรียนที่ได้รับจากสงครามยูเครน-รัสเซีย เพราะฝ่ายยูเครนสามารถนำเอาเทคโนโลยีโดรนมาใช้เป็นอาวุธต่อต้านรัสเซียได้อย่างเอกอุ
ปัญหาที่มีอยู่ในเวลานี้ก็คือว่า ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า โครงการพัฒนานี้จะแล้วเสร็จเมื่อใด และสมบูรณ์พร้อมตามที่แผนยทธการต้องการหรือไม่
หากแผนที่เตรียมเอาไว้ไม่แล้วเสร็จตามจังหวะเวลาที่เหมาะสม ผลที่จะเกิดขึ้นเมื่อการโจมตีมาถึงก็คือ จะเกิดความขัดแย้งยืดเยื้อ ซึ่งจะก่อให้เกิดการสูญเสียทั้งในส่วนของกองทัพเรือและกองทัพอากาศ เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และมีแนวโน้มว่าความสูญเสียดังกล่าวจะลามปามออกไปถึงชาติพันธมิตรอย่าง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และฟิลิปปินส์ ทั้งนี้ ตามผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นใน “วอร์เกม” สงครามจำลองที่ฝึกซ้อมกันมาต่อเนื่องหลายครั้งหลายครา
ข้อได้เปรียบของจีนอีกอย่างก็คือ ฝ่ายจีนมีทางเลือกอยู่มากมายในการใช้กำลังกับไต้หวัน ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงการบุกโจมตีโดยตรงเท่านั้น
ตัวอย่างเช่น เมื่อเร็วๆ นี้ก็ใช้วิธีการซ้อมรบเพื่อแสดงให้เห็นว่า การ “ปิดล้อม” ไต้หวันนั้นทำได้ง่ายดายเพียงใด
พล.ร.อ. ปาปาโรยืนยันว่า ตนเป็นนักการทหาร ไม่ใช่นักการทูต ไม่มีบทบาทหน้าที่ใดๆ ในทางการทูต แต่เชื่ออย่างเต็มที่ว่า โลกตะวันตกล้มเหลวโดยสมบูรณ์แบบในการใช้เวลานานกว่า 4 ทศวรรษ เพื่อโน้มน้าวให้จีนเชื่อว่าการปิดเสรีทางการเมืองเป็นเรื่องดี
เมื่อความพยายามที่ว่านั้นล้มเหลว สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ ยุคใหม่ ยุคที่เต็มไปด้วยอันตรายของภูมิภาคเอเชียอย่างเช่นที่เป็นอยู่ในขณะนี้
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022