‘Beautiful Rebel’ : ก่อนจะเป็นตำนานนักร้องหญิงของอิตาลี

คนมองหนัง
"จานนา นันนินี" ในปัจจุบัน //ภาพจากเฟซบุ๊ก Gianna Nannini

เมื่อเข้าสู่เทศกาลการแข่งขันฟุตบอลระดับนานาชาติครั้งสำคัญ เช่น ฟุตบอลโลกหรือฟุตบอลยูโร เชื่อว่าบทเพลงเพลงหนึ่งที่มักดังขึ้นมาในห้วงความคิด-ความทรงจำของแฟนบอลยุค 80-90 หลายคน ก็คือเพลง “Un’Estate Italiana” (ฤดูร้อนหนึ่งในอิตาลี) หรือที่เรียกขานกันอีกชื่อว่า “Notti Magiche” (ราตรีต้องมนต์)

อันเป็นเพลงฉบับภาษาอิตาเลียนของ “To Be Number One” ซึ่งมีสถานะเป็นเพลงประจำการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 1990 (พ.ศ.2533) ที่ประเทศอิตาลี

บทเพลงประจำทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลโลกเพลงนี้ โดดเด่นโดนใจแฟนบอล-แฟนเพลงด้วยท่วงทำนองแบบป๊อปร็อกที่ไพเราะติดหู (อันเป็นธรรมเนียมนิยมของเพลงกีฬา ไม่ว่าจะเป็นเพลงโอลิมปิกหรือเพลงบอลโลกยุคนั้น) จนมีชีวิตที่ยืนยาวข้ามกาลเวลาหลายทศวรรษมาได้

ทั้งยังถูกเปิด-ถูกร้องในอีกหลายวาระสำคัญอื่นๆ เช่น เมื่อคราวที่อิตาลีคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกปี 2006 และคว้าแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปปี 2020 ที่จัดแข่งเมื่อปี 2021

คนสำคัญที่ทำให้ “Un’Estate Italiana” กลายเป็นบทเพลงที่ติดหูแฟนบอลทั่วโลก ก็คือนักร้องหญิง ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ขับร้องเพลงเพลงนี้

เธอมีนามว่า “จานนา นันนินี” (Gianna Nannini)

“Un’Estate Italiana” เพลงประจำการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 1990 ที่ประเทศอิตาลี

เร็วๆ นี้ เพิ่งมีภาพยนตร์อิตาเลียนเรื่อง “Beautiful Rebel” (ชื่อภาษาไทยว่า “สาวร็อกหัวขบถ”) กำกับการแสดงโดย “ชินเซีย ตอร์รินี” เผยแพร่ในเน็ตฟลิกซ์

ผมตัดสินใจคลิกดูหนังเรื่องนี้ทันที หลังได้อ่านเรื่องย่อว่านี่คือภาพยนตร์ชีวประวัติของ “จานนา นันนินี” ซึ่งนอกจากจะเป็นผู้ขับร้องเพลง “Un’Estate Italiana” แล้ว เธอยังเป็นนักร้อง-นักแต่งเพลงหญิงชื่อดังของอิตาลี (มีอายุครบ 70 ปี ในเดือนมิถุนายนนี้) ที่มีน้ำเสียงแหบเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์

ต้องยอมรับว่า “Beautiful Rebel” ซึ่งสร้างจากหนังสืออัตชีวประวัติของจานนานั้น เป็นภาพยนตร์ที่มีคุณภาพพอดูได้แบบเพลินๆ ไม่ได้มีความดีเด่นเป็นเลิศชนิดห้ามพลาด

(หนังมีคุณภาพใกล้เคียงกับภาพยนตร์ชีวประวัติของ “โรแบร์โต บาจโจ” เรื่อง “Baggio : The Divine Ponytail” ที่เข้าฉายผ่านเน็ตฟลิกซ์ก่อนหน้านี้ แต่เรื่อง “Beautiful Rebel” ยังดูสนุกกว่านิดหน่อย)

“Beautiful Rebel” (สาวร็อกหัวขบถ) กำกับการแสดงโดย “ชินเซีย ตอร์รินี” เผยแพร่ในเน็ตฟลิกซ์

อาจอธิบายได้ว่า หนังเรื่องนี้เป็นส่วนผสมของหนังดราม่าแนวชีวประวัติบุคคลที่ผูกโยงเข้ากับเงื่อนปมทางจิตวิทยา เช่น “A Beautiful Mind” กับหนังแนวดราม่าครอบครัวที่แสดงความสัมพันธ์ระหองระแหงแต่ผูกพันลึกซึ้งระหว่างพ่อกับลูกสาว (ซึ่งเป็นเลสเบี้ยน และเลือกไปแสวงหาตัวตน-ความสำเร็จในอุตสาหกรรมดนตรี มากกว่าจะสานต่อกิจการร้านกาแฟ-เบเกอรี่ของครอบครัวที่เมืองเซียน่า ประเทศอิตาลี)

น่าเสียดาย ที่แม้เรื่องย่อในเน็ตฟลิกซ์จะเขียนบอกว่าจานนาต้องต่อสู้กับอุตสาหกรรมดนตรีอิตาเลียนยุค 70-80 อย่างหนัก แต่ตัวหนังกลับไม่ได้เล่าถึงประเด็นดังกล่าวอย่างเข้มข้นมากนัก (แม้จะให้รายละเอียดเกี่ยวกับบุคลากรบางรายในอุตสาหกรรมเพลงฝั่งอิตาลีและเยอรมนีได้น่าสนใจ)

แล้วหันไปเน้นย้ำถึงการต่อสู้กับจิตใจตัวเองของตัวละครหลัก ในฐานะที่เธอเป็นปัจเจกบุคคลคนหนึ่งแทน

นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาจากภาพถ่ายเก่าๆ ที่นำมาโชว์ตรงเอ็นด์เครดิตท้ายเรื่อง ผู้ชมก็จะเห็นว่าจานนานับเป็นศิลปิน/นักกิจกรรมที่กระตือรือร้นทางการเมืองและร่วมเคลื่อนไหวประท้วงในประเด็นสาธารณะต่างๆ อยู่ไม่น้อย แต่เนื้อหาหนังกลับมิได้กล่าวถึงเรื่องเหล่านี้เลย

(ยกเว้นการเล่าถึงเพลงของเธอ ซึ่งมีเนื้อหาแสดงความเห็นใจต่อสตรีที่เลือกทำแท้ง อันถือเป็นการละเมิดปทัสถานทางสังคมของประเทศคาทอลิกอย่างอิตาลีมากพอสมควร)

“จานนา นันนินี” ในปัจจุบัน //ภาพจากเฟซบุ๊ก Gianna Nannini

อีกสองเรื่องที่เสียดาย คือ จริงๆ ชีวิตหลังทศวรรษ 1980 ของ “จานนา นันนินี” (ซึ่งหนังเล่าไปไม่ถึง) นั้นมีจุดน่าสนใจอีกหลายช่วงตอน

เช่น เมื่อเธอมีอายุเข้าเลข 5 ในปี 2010 จานนาที่มีคู่ชีวิตเป็นผู้หญิง (และปรากฏบทบาทเป็นตัวละครรายหนึ่งในหนังเรื่องนี้ด้วย) ก็ตั้งท้องให้กำเนิดลูกสาว โดยไม่มีการระบุผู้เป็นพ่อ

หรือการไม่มีฉากจานนาขับร้องเพลง “Un’Estate Italiana” ในช่วงฟุตบอลโลก 1990 (คงเพราะติดปัญหาลิขสิทธิ์) ก็ถือเป็นการขาดหายไปของโมเมนต์สำคัญที่น่าจะจับใจคนดูนอกประเทศอิตาลีได้ไม่ยาก

อย่างไรก็ดี ในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่ไม่รู้ภาษาอิตาเลียนเลย และตามฟังเพลงของจานนามานานแบบไม่ทราบความหมาย ข้อดีที่ยากปฏิเสธของหนังเรื่อง “Beautiful Rebel” ก็คือการนำเอาเพลงดังเพลงเพราะจำนวนมากของเธอมาเป็นองค์ประกอบสำคัญในการเล่าเรื่อง แถมยังมีซับไตเติลแปลคำร้องเป็นภาษาไทยด้วย

นี่จึงเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้รับรู้ความหมายในเนื้อร้องอันลึกซึ้งคมคายเหล่านั้น

นอกจากนั้น หนังเรื่องนี้ยังทำให้เราได้ทราบเกร็ดประวัติชีวิตเล็กๆ น้อยๆ ของจานนาและคนใกล้ตัว เช่น เธอมีน้องชายเป็นนักแข่งฟอร์มูลาวันชื่อ “อเลสซานโดร นันนินี” (เคยชนะเลิศรายการเจแปนีส กรังด์ปรีซ์เมื่อปี 1989 ก่อนจะได้รับบาดเจ็บที่แขนจากอุบัติเหตุทางเฮลิคอปเตอร์ จนต้องยุติเส้นทางสายนี้ไป)

หรือจานนาเองก็เคยประสบอุบัติเหตุระหว่างใช้งานเครื่องจักรในโรงงานเบเกอรี่ของครอบครัว จนสูญเสียนิ้วมือบางส่วน •

 

หมายเหตุ ผู้เขียนได้ทราบความหมายภาษาไทยของชื่อเพลง “Un’Estate Italiana” (Notti Magiche) จากเพจเฟซบุ๊ก “ครูก้า” (ผศ.สรรควัฒน์ ประดิษฐพงษ์)

 

| คนมองหนัง