เผยแพร่ |
---|
หากมองไปยังผลการเลือก 200 สมาชิกวุฒิสภา”ใหม่”ระดับอำเภอที่แม่ฮ่องสอน ที่นนทบุรี ก็อาจจะเกิดความรู้สึกหนึ่ง ขณะที่ หากมองไปยังที่เพชรบูรณ์ ที่เชียงใหม่ ก็จะเกิดอีกความรู้สึกหนึ่ง
เห็นได้จากบทสรุปอันมาจาก นายสมชาย แสวงการ คนสำคัญแห่ง 250 สมาชิกวุฒิสภา”เก่า”
ร้อนแรง แหลมคม ถึงกับให้นิยามว่าเป็น”สภาฮั้ว”
ขณะที่หลายคนเห็นการได้ไปต่อของ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ การได้ไปต่อของ นายพนัส ทัศนียานนท์ รวมไปถึงรายชื่อของ นส.นันทนา นันทวโรภาส ย่อมเปี่ยมด้วยความหวัง
แท้จริงแล้ว ในความผิดหวังและในความสมหวังจากที่ปรากฏเป็นข่าวยังเสมอเป็นเพียงขั้นตอนที่ 1 ในระดับอำเภอ ยังต้องเข้าไปสู่ขั้นตอนที่ 2 ในระดับจังหวัด
เป็นเพียงการคั้นกรองจากจำนวนกว่า 40,000 จากขั้วประเทศคงเหลือเพียงจำนวนกว่า 20,000 เพื่อที่จะคั้นกรองก่อนเข้าสู่ขั้นตอนที่ 3 ให้เหลือเพียง 200 คนในที่สุด
ภาพที่เห็นและจากรายชื่อที่ปรากฏอาจยังไม่ยอดเยี่ยมหากมองผ่านกระบวนการของการเลือกแทนที่จะเป็นการเลือกตั้งเสรี
กระนั้น ก็ยังดีกว่าการได้มาซึ่ง 250 สมาชิกวุฒิสภา”เก่า”
การได้มาซึ่งบุคคลอย่าง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นปลัดกระทรวง ย่อมเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างแน่นอน
หากเป็นการคัดสรรโดยการนั่งจิ้มโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน
โอกาสย่อมเป็นคนในแบบ นายสมชาย แสวงการ มากกว่า
แต่เมื่อผ่านกระบวนการเลือกแม้จะวิปริตเป็นอย่างมาก แต่อย่างน้อยก็ยังได้คนอย่าง นางอังคณา นีละไพจิตร ผ่านเข้าสู่รอบที่ 2 ได้คนอย่าง นายพนัส ทัศนียานนท์ มาเป็นตัวเลือก
บทสรุปที่สมควรเห็นร่วมกันอย่างที่สุดน่าจะเป็นบทสรุปว่ามี ความจำเป็นเป็นอย่างสูงในการแก้ไขถึงขั้นยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ยิ่งโละเนื้อหาหลายเนื้อหาของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540
ยิ่งเป็นเรื่องที่ทรงความหมายเป็นอย่างสูง
หากมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาระบอบประชาธิปไตยให้ก้าวหน้า
คำตอบในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการเลือก 200 สมาชิกวุฒิสภา”ใหม่”เท่ากับเป็นการประจาน
ความอัปลักษณ์ ความเลวร้ายเนื่องแต่”รัฐประหาร”
สังคมมีความต้องการสูงเป็นอย่างยิ่งให้วาระแห่ง 250 สมาชิกวุฒิสภา”เก่า”ต้องหมดไป แม้การได้มาซึ่ง 200 สมาชิก วุฒิสภา”ใหม่”จะยังไม่สมบูรณ์ตามความปรารถนา
แต่ก็เชื่อและมั่นใจว่าจากการเลือกครั้งนี้จะก่อให้ตระหนักในความจำเป็นต้องแก้ไขและยกร่าง”รัฐธรรมนูญ”ใหม่ขึ้นมาให้จงได้