ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 14 - 20 มิถุนายน 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | กาแฟดำ |
ผู้เขียน | สุทธิชัย หยุ่น |
เผยแพร่ |
จะแก้วิกฤตพม่าต้องไม่มองเฉพาะความขัดแย้งระหว่างกองทัพพม่ากับพรรคการเมืองที่เคยได้รับการเลือกตั้งอย่างท่วมท้นเท่านั้น
เพราะประเด็นที่แท้จริงไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องระหว่างพลเอกอาวุโส มิน อ่อง ลาย และนักเรียกร้องประชาธิปไตย อ่อง ซาน ซูจี เท่านั้น
หากไม่ให้กลุ่มชาติพันธุ์ทั้งหลายที่ต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิในการปกครองตนเองที่ยาวนานมาหลายสิบปีมีส่วนร่วมในการหาทางออกร่วมกัน, เมียนมาก็ไม่มีทางได้พบกับสันติภาพ
นั่นคือความเห็นของนักเคลื่อนไหวคนสำคัญของพม่า…ที่ต้องหลบลี้หนีภัยการเมืองไปอยู่ที่อังกฤษ

สัปดาห์ก่อนผมได้พูดคุยกับนักรณรงค์เพื่อสันติภาพจากพม่า Maung Zarni (หม่อง ซาร์นี) ที่แวะมากรุงเทพฯ เพื่อเกาะติดสถานการณ์ที่บ้านเกิดของตัวเอง
ซาร์นีพูดจาคล่องแคล่ว ขึงขัง มุ่งมั่น แต่ก็มีอารมณ์ขันและมีความเป็นมนุษย์ลึกซึ้ง
ผมถามว่าประเทศไทยควรจะมีบทบาทช่วยสร้างสันติภาพในพม่าอย่างไร
เขาไม่ลังเลที่จะตอบว่าไทยมีบทบาทแน่…แต่ต้องร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านพม่าอื่นๆ จึงจะพอเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
ซาร์นีเคยถูกเสนอชื่อให้ได้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพเพราะทำงานด้านรณรงค์ต่อต้านการสังหารโหดชนกลุ่มน้อยโดยเฉพาะโรฮิงญาอย่างแข็งขันมาตลอด
เขาเป็นทั้งนักการศึกษา นักวิชาการ และนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนชาวพม่า
เป็นที่รู้จักจากการต่อต้านความรุนแรงในรัฐยะไข่และวิกฤตผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญา
เป็นผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มนักเคลื่อนไหวหลายแห่ง รวมถึง Free Burma Coalition (1995-2004) Free Rohingya Coalition (2018-ปัจจุบัน)
และ Forces of Renewal Southeast Asia (2018)
อีกทั้งยังเป็นนักวิจัยประจำ Documentation Center – กัมพูชาในฐานะเชี่ยวชาญด้านการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
และทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของ Genocide Watch (สหรัฐอเมริกา) ด้วย
นักเคลื่อนไหวเพื่อสันติภาพชาวไอร์แลนด์เหนือและผู้ได้รับรางวัลโนเบลในปี 1976 ที่ชื่อ Mairead Corrigan Maguire เป็นคนเสนอชื่อซาร์นีให้ได้รับรับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปีนี้
ซาร์นีบอกผมว่าความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วพม่า
ซ้ำเติมด้วยการฟื้นตัวที่น่าตกใจของการทำลายล้างเผ่าพันธุ์ต่อชาวโรฮิงญาในรัฐยะไข่
เมียนมาจึง “สุกงอม” สำหรับการแทรกแซงทางการเมืองจากภายนอกโดยประเทศเพื่อนบ้าน
นับแต่มิน อ่อง ลาย ก่อรัฐประหารในปี 2021 ที่โค่นพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ของอ่อง ซาน ซูจี ความขัดแย้งที่รุนแรงระหว่างรัฐบาลทหารกับขบวนการต่อต้านทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ทั้งหลายก็ถูกลากเข้าสู่ความขัดแย้งที่หนักหน่วงขึ้น
วันนี้ พม่ากลายเป็นลูกผสมระหว่างซีเรียที่ปริแตกอย่างร้ายแรงในวันนี้กับช่วงแรกๆ ของการล่มสลายของยูโกสลาเวียในทศวรรษ 1990
ที่ซีเรีย รัฐบาลอัสซาดที่ได้รับการสนับสนุนจากรัสเซียแต่ดินแดนของประเทศบางส่วนก็ตกไปอยู่ในเมือของกลุ่มต่อต้านอัสซาด
มหาอำนาจข้างนอกต่างก็เข้ามาร่วมสร้างให้เกิดความสับสนวุ่นวายอย่างต่อเนื่อง
ยูโกสลาเวียแตกกระเซ็นกระสายในลักษณะที่เรียกว่า “บอลคาไนเซชั่น” ในช่วงทศวรรษ 1990
แต่วันนี้ เขตแดนของเมียนมากับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น จีน อินเดีย ไทย บังกลาเทศ และลาว ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงสู่ด้านที่ดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
องค์กรต่อต้านที่เป็นชาติพันธุ์ (EAOs) เช่น องค์กรเอกราชคะฉิ่น (KIO) สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) พรรคก้าวหน้าแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNPP) แนวร่วมชาติชิน (CNF) และกองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติเมียนมา (MNDAA) ) พึ่งพาประเทศเพื่อนบ้านเพื่อความอยู่รอดทางเศรษฐกิจของตน
กองกำลังของฝ่ายรัฐบาลทหารเริ่มเพลี่ยงพล้ำ จึงหันไปใช้การโจมตีทางอากาศนับร้อยๆ ครั้งเพื่อทำลายโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น สะพาน
เพื่อสกัดกั้นการรุกคืบของฝ่ายต่อต้านที่สามารถรวมพลังกันได้อย่างมีประสิทธิภาพพอสมควร
ฟิลิปโป กรันดี ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติรายงานต่อคณะมนตรีความมั่นคงว่าสงครามกลางเมืองของเมียนมาส่งผลให้มีผู้พลัดถิ่นภายในประเทศ (IDP) มากกว่า 3 ล้านคนตั้งแต่เกิดรัฐประหารเป็นต้นมา
และยังมีผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาเกือบหนึ่งล้านคนในบังกลาเทศ
พม่าน่าจะเรียนรู้จากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของกัมพูชาในอดีต
ซีน่าร์บอกว่าถึงเวลาแล้วที่ประเทศเพื่อนบ้านทั้งหลายของเมียนมาจะต้องร่วมมือกันเพื่อทำลายวงจรอันเลวร้ายนี้ และยุติสงครามในเมียนมา
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทั้งชนชั้นสูงทางการเมืองและการทหารของพม่า และผู้นำที่ไม่ใช่พม่าได้สร้างความผิดหวังให้กับผู้คนจำนวน 55 ล้านคนที่อาศัยอยู่ในเมียนมาเป็นอย่างยิ่ง
เขาบอกว่าในระดับสากล ตะวันตกได้ป่าวประกาศว่าจะสนับสนุนฝ่ายต่อต้านเพื่อช่วยกันสร้างสันติภาพและประชาธิปไตยรวมถึง สิทธิมนุษยชน และหลักนิติธรรม
แต่ก็ไม่มีใครรับรองว่าในท้ายที่สุด นี่คือเป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขาหรือไม่
เพราะต้องไม่ลืมว่า “ตัวละครเดียวกันนี้” ได้มีส่วนสมรู้ร่วมคิดในการทำลายฉนวนกาซาด้วยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างต่อเนื่องของอิสราเอล
และมิหนำซ้ำยังเป็นผู้เติมเชื้อเพลิงให้ลุกโพลงขึ้นในสงครามยูเครน-รัสเซียในยุโรปตะวันออกอีกด้วย
ในสถานการณ์เช่นนี้ ซีน่าร์บอกว่า
“มันจำเป็นอย่างยิ่งที่คนเมียนมาเองจะต้องระดมความกล้าหาญทางการเมืองเพื่อบอกว่าเราต้องการความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้านของเรา เรามีความผูกพันกับพวกเขาทางภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์…ไม่ว่าในอดีตจะเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ดีก็ตาม”
เขาเสนอให้ประเทศเพื่อนบ้านของเมียนมาซึ่งแน่นอนว่าหมายรวมถึงประเทศไทยด้วย “เป็นผู้นำในการฟื้นฟูความสงบเรียบร้อยและเสถียรภาพในประเทศของเรา”
ซีน่าร์บอกว่ามีสัญญาณว่าผู้นำไทยและกัมพูชาดูเหมือนจะได้แสดงความกระตือรือร้นที่จะช่วยเหลือเมียนมาในการแสวงหาสันติภาพอย่างเป็นรูปธรรม
เขาคิดว่าเพื่อนบ้านอาจจะมีบทบาทที่น่าเชื่อถือมากกว่า “เพื่อนจากแดนไกล” ด้วยซ้ำ
ประวัติศาสตร์บางตอนบอกว่าเพื่อนบ้านอย่างไทยและเวียดนามที่ได้ช่วยกอบกู้กัมพูชาหลังกรณีสังหารหมู่ที่น่าหวาดหวั่นในประวัติศาสตร์
ซีน่าร์มองว่าการสนับสนุนสันติภาพด้วยกระบวนการเจรจาเป็นหนทางเดียวที่จะก้าวไปข้างหน้าในสถานการณ์ของเมียนมา
ทุกฝ่ายที่อยู่ในความขัดแย้งต่างก็เชื่อมั่นว่าฝ่ายตนจะได้รับชัยชนะทางทหารในที่สุด
และนั่นก็นำมาซึ่งความรุนแรงทั้งในสมรภูมิรบและการเผชิญหน้ากันอย่างกราดเกรี้ยวทุกรูปแบบ
แต่ทางออกสำหรับเมียนมาไม่ใช่การทำลายล้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้สูญสิ้นสลายหายไป
“แม้แต่กองทัพพม่าก็จะต้องมีบทบาทในโครงสร้างใหม่…ตามเงื่อนไขในข้อตกลงร่วมกันของทุกฝ่าย”
ซีน่าร์เตือนว่าการมุ่งวิเคราะห์ปัญหาแต่เพียงว่าความสงบจะกลับมาเมียนมาได้เพราะการเจรจาระหว่างมิน อ่อง ลาย กับอ่อง ซาน ซูจี นั้นเป็นวิธีคิดที่ผิด
เพราะ “ตัวละคร” ของวิกฤตเมียนมามีมากมายหลากหลาย
และทุกฝ่ายโดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งหลายจะต้องมีสวนร่วมในการออกแบบโครงสร้างแห่งสังคมและการเมืองของเมียนมา
“ผมขอเรียกร้องให้เพื่อนบ้านของเมียนมายอมรับบทบาทในการช่วยดึงให้ทุกฝ่ายในความขัดแย้งมาเขียนแผนที่เพื่ออนาคตใหม่ของเมียนมา…”
วิกฤตพม่าไม่ได้เพิ่มเริ่มต้นจากรัฐประหารปี 2021
หากแต่เริ่มมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยซ้ำ
“เราต้องตระหนักว่าการคิดแบบผลลัพธ์เป็นศูนย์ หรือ Zero-Sum Game นั้นไม่มีทางนำไปสู่การแก้ปัญหาวิกฤตนี้ได้เป็นอันขาด”
ซีน่าร์ย้ำกับผมด้วยน้ำเสียงของคนที่ผ่านความผิดหวังมานับครั้งไม่ถ้วน
แต่ในแง่ของอนาคตประเทศชาติของตัวเอง ก็ไม่อาจจะท้อแท้สิ้นหวังได้
“ทุกวันนี้ บ้านเกิดเมืองนอนของผมเลือดไหลออกจากทุกๆ ด้าน…ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้นที่ตกอยู่ในฐานะเพลี่ยงพล้ำ…”
แม้วันนี้จะสายมากแล้ว ก็สำหรับการกู้ชาติกู้บ้านเมืองสำหรับคนพม่ารุ่นต่อไปย่อมไม่มีคำว่า “สายเกินไป”
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022