เรื่องสั้น : ว่ากันว่า วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ราว 13:00 น.

นางคนแรกอายุค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมอาชีพ นางถูกไล่ออกจากงานร้านเสริมสวย ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางซอยผมลูกค้าไฮโซพลาดไปจากคำสั่ง อายุนางร่วมสี่สิบสอง ปูนนี้แล้วไม่อยากเป็นลูกจ้างให้เขาโขกสับต่อไปอีก นางคิดเช่นนั้นเพราะปลอบใจตนด้วยส่วนหนึ่ง นางอายที่จะคิดว่าตัวเองเป็นช่างเสริมสวยรุ่นควรปลดระวาง นางบากหน้าเข้ายืมเงินพี่สาวเป็นทุนเช่าบ้านเปิดเป็นร้านซักรีดอยู่แถวหนองน้ำท้ายซอย นางไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นคนตกงานที่เอาแต่งอมืองอเท้ารองานใหม่ นางอับอายที่ถูกพี่สาวชี้หน้าว่าไร้ที่ไป นางไม่เถียงสักคำ พี่สาวนางขี้บ่นอย่างนี้เสมอ พอเกิดเวทนาน้องสาวคนเดียวที่มีภาระเรื่องลูกชายขึ้นมา พี่สาวก็ยอมควักทุนให้นางก้อนหนึ่งราวๆ หมื่นห้าพันบาท

สามีของนางตายไปได้เจ็ดปีเท่ากับอายุลูกชายคนเดียวของครอบครัว เดือนสุดท้ายก่อนนางคลอด ยามโพล้เพล้วันหนึ่งเขาซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์วินออกไปหายืมเงินเพื่อนที่เป็นยามเฝ้าลานจอดรถอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าใหญ่ เตรียมไว้เป็นค่าทำคลอดลูกคนแรกที่โรงพยาบาล ผลีผลามเลี้ยวออกถนนสายหลักก็ถูกรถเก๋งลากไปไกลร่วมร้อยเมตร ตายคาที่ทั้งคนขับและคนซ้อน หมดโอกาสเห็นหน้าลูกชายที่จะลืมตาดูโลกในอีกเพียงไม่กี่วัน

ลูกชายอายุเจ็ดขวบของนาง เพียงอยากกินข้าวผัดหมูไข่ดาวร้านหน้าปากซอยเท่านั้น

นางคนที่สองชื่อกระดังงา สามีเก่าเช่าห้องแถวเล็กๆ ไว้ให้นางเอาสินค้าเบ็ดเตล็ดจำพวกปลากระป๋อง สบู่ ผงซักฟอก น้ำมันพืช ลูกอม น้ำพริกนรกกลิ่นแมงดา ยาลดกรด ข้าวสารแบ่งขายกิโลกรัมละสามสิบบาทบ้าง ยี่สิบห้าบาทบ้าง ฯลฯ วางเต็มพื้นที่ร้านไว้รองรับปากท้องในซอย นางมีรายได้จากตรงนี้พอเลี้ยงตัว หลังสามีของนางถูกเมียหลวงตามมาฉีกหน้า จบสิ้นความสัมพันธ์กันไป นางเสียดายเงินของเขาอยู่บ้าง แต่นางก็ทำใจว่าวาสนานางได้เพียงแค่นั้น

ต่อมา มีร้านชื่อเป็นภาษาอังกฤษติดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ มาเปิดใหม่ห่างร้านของนางไปไม่กี่ซอย สินค้าของนางเริ่มขายไม่ออก ยอดขายลดลงวูบวาบ นางจึงงัดกลยุทธ์มาสู้กับร้านใหญ่โดยเปิดขายอาหารตามสั่งควบคู่ไปด้วย นางเป็นม่ายสาวอวบอัด ปิดประตูร้านเพ่งพิศตัวเองในกระจก จากนั้นจึงเหวี่ยงเสื้อผ้าเทอะทะทิ้ง หาเสื้อคอลึก กางเกงผ้ายืดรัดรูปมาสวมเข้า ขี้คร้านจะรับแขกกันจนหน้าร้านเหี้ยน นางสั่งม้าหินขัดมาลงไว้หน้าร้านสองชุด ดองยาใส่โถสามโถ ปิดป้ายว่านางครวญ โด่ไม่รู้ล้ม และกระทิงโทน แค่นี้ม้านั่งหน้าร้านของนางก็ถูกจับจองไม่ว่างเว้น โดยเฉพาะลูกค้าประจำคนสำคัญ

ชายวัยกลางคนมีตำแหน่งมีศักดิ์ศรีที่ใครๆ เรียกติดปากว่า “ท่านสอทอ”

สมาชิกสภาเทศบาลเทพ เรียกกันสั้นๆ ว่าสอทอเทพ สั่งสมชื่อเสียงมาจากการเป็นคนจับรถมือสองขาย ออกจะกว้างขวางอยู่พอสมควรในประดาลูกค้าและชาวบ้านทั่วไป ซึ่งชอบใช้บริการรถของนายเทพ เพราะนายเทพเป็นพ่อค้าที่ซื่อตรงไม่ย้อมแมว แต่ในวงการเมืองท้องถิ่นนายเทพกลับไม่ประสีประสาเลย

แต่ก่อนที่นี่เป็นแต่เพียงตำบลธรรมดาทั่วไป ครั้นพอมีคนมากเข้า ธุรกิจทั้งหลายรุ่งเรืองดีและถูกยกเป็นเทศบาล นายเทพก็ถูกชวนลงสมัครสมาชิกสภาเทศบาลรุ่นแรก นายเทพเป็นผู้ซื่อสัตย์ยุติธรรม ตั้งตนเป็นผู้รับใช้ประชาชนที่ดีตามคำสอนครูบาอาจารย์และหนังสือคู่มือคุณธรรมต่างๆ ที่เคยผ่านตา เมื่อมีการประชุมจัดทำร่างเทศบัญญัติ โครงการไหนก็แล้วแต่ถ้านายเทพเห็นว่าค่าใช้จ่ายหรืองบประมาณตั้งไว้สูงเกินไป หรือโครงการไหนที่ทำแล้วมีแนวโน้มจะสูญงบประมาณเปล่าก็จะคัดค้านอยู่ร่ำไปจนเป็นที่เอือมระอาของเพื่อนสมาชิก แต่แล้วในเดือนปีต่อๆ มา นายเทพกลับถูกเพื่อนร่วมงานพาไปกินเลี้ยงอยู่เสมอ คราวหนึ่งทางเทศบาลได้งบฯ พาไปดูงานถึงกรุงเทพฯ นายเทพถูกคะยั้นคะยอให้กรอกน้ำสีอำพันเข้าปากหลายแก้ว จากนั้นนายกเทศมนตรีชวนนายเทพออกไปสูบบุหรี่ชมวิวยามค่ำของเมืองหลวง นายเทพถูกนายกเทศมนตรียัดซองสีขาวหนาปึกใส่มือ นายเทพจำเสียงกระซิบกระซาบของนายกเทศมนตรีได้อย่างรางเลือน

“…ค่าส่วนแบ่งจากโครงการ”

นายกบอกว่ายังอีกตั้งสองปีกว่าจะหมดวาระสภา มีคนรอนั่งเก้าอี้แทนที่หลายคน คุณอยู่กับเรา คุณต้องมีความเป็นทีม ถ้าคุณยืนอยู่นอกคอกคอยคัดค้านอยู่อย่างนี้เทศบาลเราก็จะล้าหลังไม่เท่าเทียมเทศบาลอื่น คิดเอาเองจะอยู่หรือจะไป

นายเทพคิดถึงหน้าเมียกับลูกสาวอายุสี่ขวบที่กำลังจะเข้าศูนย์เด็กปฐมวัย เขารับซองใส่กระเป๋าแล้วเดินกลับเข้าในงานเลี้ยงและไม่ออกมาข้างนอกอีกเลยกระทั่งงานเลี้ยงเลิกราและไฟทุกดวงดับลง

สามปีผ่าน เทศบาลเจริญขึ้นมาก นายเทพกลายเป็นสอทอเทพเต็มภาคภูมิ ชาวบ้านให้ความยำเกรงเขาเท่ากับสมาชิกสภาเทศบาลคนอื่นๆ เพื่อนสอทอทั้งหลายก็ให้ความสนิทสนมต่อสอทอเทพราวกับญาติสนิท สอทอเทพเพิ่งเห็นค่าของคำว่า กินตามน้ำ ในตอนนั้น

ต่อมา นายเทพมีเงินทองเหลือใช้จากการกินตามน้ำก็เอาไปดาวน์เก๋งป้ายแดงมาคันหนึ่ง ขับโฉบไปมาได้สามเดือนครึ่ง วันนั้นสอทอเทพกลับจากกินข้าวเย็นบ้านนายกเทศมนตรีราวทุ่มครึ่ง จวนถึงบ้านรอมร่อ รถจักรยานยนต์คันหนึ่งเลี้ยวออกจากซอยกะทันหัน สอทอเทพบีบแตรลั่นด้วยความตกใจ เขาแตะเบรกไม่ทันเสียแล้ว

ว่ากันว่า เวลาโพล้เพล้พลบค่ำ เป็นเวลาที่มีคนตายจากอุบัติเหตุรถชนกันมากที่สุด

ปีนี้ลูกชายของนางอายุเจ็ดขวบ พูดจาวกวนพอจับใจความได้ ตาลอย น้ำลายยืด เขาไม่ได้เข้าโรงเรียนเหมือนเด็กคนอื่น เด็กคะนองในซอยล้อว่าลูกชายนางปัญญาอ่อน นางหาเลี้ยงลูกชายมาตลอดเจ็ดปีไม่เคยต่อปากต่อคำกับเด็กคะนองพวกนั้น ลูกของนางชอบกินข้าวผัดหมูไข่ดาวร้านหน้าปากซอย พัฒนาการทางสมองของลูกชายนางเป็นไปอย่างเชื่องช้าและน่าเหนื่อยหน่าย ลูกชายนางมีสมองไว้เพียงจดจำรสชาติข้าวผัดแสนอร่อยร้านนั้น วันไหนเขาอยากกินต้องได้กินและจะคลุ้มคลั่งถ้าไม่ได้กิน ผู้เป็นแม่ทำให้ก็ไม่กิน ถึงอย่างไรเขาก็เป็นลูกชายคนเดียว นางจะรังเกียจความต้อยต่ำของลูกชายตนได้อย่างไร

วันนี้ เขาอยากกินข้าวผัดหมูไข่ดาว

แดดร้อนเหลือเกิน นางกุมเงินห้าสิบบาทก้าวยาวๆ ออกจากบ้านเช่าริมหนองมาตามซอย มอเตอร์ไซค์วินหลายคันขับผ่าน กดแตรเรียก นางส่ายหน้าเดินต่อไป เหงื่อชุ่มต้นคอ ไหลลงถึงกลางหลัง เสื้อนางชุ่มไปทั้งตัว นึกสาปแช่งแสงแดดที่แสบร้อนทะลุเนื้อหนังลงไปถึงกระดูก ก่นด่าฟ้าดินอยู่คนเดียว นางนึกรำคาญแตรรถเครื่องที่กดใส่นางจนสะดุ้งร่ำไป สามีนางตายเพราะซ้อนท้ายรถพวกนี้ ไม่น่าเลย ไม่น่าเลย นางพาลนึกไปถึงลูกค้าไฮโซร้านเสริมสวยที่นางเคยทำ เรื่องมากสิ้นดี ลูกค้าพวกนี้เอาใจยากที่สุด นางพร่ำขอโทษที่ซอยผมผิดคำสั่งไปแค่นิ้วเดียว ลูกค้าคนนั้นไม่ยอม ด่านางว่าโง่เหมือนสัตว์มีเขา นางเลยหยุดขอโทษ มือที่ยกไหว้กลับแบออกเป็นฝ่ามือเงื้อขึ้นจะตบหน้าไฮโซด้วยความลืมตัว เท่านั้นนางก็ตกงาน ลูกชายของนางก็ช่างกระไร มาอยากกินข้าวผัดหมูไข่ดาวร้านหน้าปากซอยเอาในเวลานี้ ทำให้ก็ไม่กิน แดดร้อนยังกับเดินอยู่ในดวงอาทิตย์ นี่ถ้านางไม่มีรองเท้าสวมเหมือนคนจรจัดข้างถนนบางคนที่เคยเห็น คงเหมือนเอาหนังฝ่าเท้าทาบลงบนเตารีดผ้าร้อนๆ นั่นเอง ร้านข้าวผัดเวรตะไล ทำไมถึงอยู่ไกลนัก

กลิ่นเหม็นเน่าจากถังขยะตรงเสาไฟฟ้าโชยกระทบรูจมูก นางพยายามเดินเลี่ยงถังสกปรก แต่กลิ่นยังตามราวีนางอยู่ดี รถเก๋งสีบรอนซ์คันหนึ่งผ่านไป นางเห็นคนขับแวบผ่านกระจกชั่ววินาที มองไม่ชัดตาแม้รถจะติดฟิล์มบาง แต่ก็ยังรู้สึกคุ้นตาเหมือนเคยเห็นคนขับที่ไหน ป่วยการจะคิด

นางไม่ใส่ใจมากไปกว่านั้น นางเพียงอยากไปซื้อข้าวผัดหมูให้ลูกชายปัญญาอ่อน

นางคนสุดท้ายชื่อเจ๊ไฝ ว่ากันว่า นางคนนี้เป็นผู้หญิงที่ทรงอิทธิพลของเทศบาล นางปล่อยเงินกู้ดอกร้อยละสามสิบ นางคนนั้นมีไฝเหนือริมฝีปากซ้าย ปากจัด ด่าใครรับรองปวดแสบถึงกระดูกดำ นางอายุสี่สิบ นางมีสามีที่อยู่กินกันมาห้าปี

วันนี้ นางมีปัญหาบางอย่างที่จะต้องสะสาง

นางกระดังงากลีบหอมนั่งดูดชาเย็นหลบแดดอยู่ในร้าน วันนี้นางแต่งตัวสวยเป็นพิเศษ แต่งหน้าทาปากบานเบ่งท้าทายฤดูร้อน ลูกค้าซาลงเพราะเลยเที่ยงมาแล้ว คึกคักอีกทีก็ตอนเย็น นางรอลูกค้าพิเศษที่กำลังเดินทางมา สายโทรศัพท์เมื่อสักครู่ทำให้ใจนางเต้นตึกตัก ลุกส่องกระจกหลายรอบ นางเกรงความร้อนของอากาศจะละลายความเย้ายวนบนริมฝีปากอิ่ม เขาชอบกลิ่นชาเย็น มันหอมและหวานกลมกล่อมติดปาก

นางดูดชาเย็นจวนหมดแก้ว ไม่นานซีวิคสีบรอนซ์เงินก็เข้ามาจอดเทียบหน้าร้าน

นางร้านซักรีดบ่นลมๆ แล้งๆ มาจวนถึงปากซอย ร้านค้าปรากฏขึ้นในคลองตา แดดยังเริงแรง ป่านนี้ป้าสำลีคนข้างบ้านกลับจากตลาดหรือยังก็ไม่รู้ นางทิ้งลูกชายไว้คนเดียว ไม่วางใจนักแม้จะเอ่ยปากฝากฝังไว้กับหลานสาวป้าสำลีแล้วก็ตาม อีเปิ้ลหลานป้าสำลียังวัยรุ่นนัก ถ้าป้าสำลีอยู่คงพอวางใจได้มากกว่านี้ นางคิดได้ดังนั้นก็รีบสืบเท้าไปยังร้านค้าเบื้องหน้า เห็นรถเก๋งคันนั้นจอดอยู่ คงแวะซื้อของอะไรสักอย่าง

ราวห้าสิบเมตรก่อนนางร้านซักรีดจะเดินถึงหน้าร้านนางแม่ม่าย นางเห็นรถเก๋งวีออสสีดำของเจ๊ไฝจอมโหดเลี้ยวเข้าจอดพรืดเทียบซีวิคหน้าร้านชำ เจ้าของรถเปิดประตูแล้วกระโจนเข้าในร้าน นางได้ยินเสียงเอะอะโวยวายกระแทกลมร้อนออกมา มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า เจ๊ไฝอาจมาทวงหนี้นางกระดังงาแล้วด่าล้งเล้งตามสไตล์ นางกระดังงาเจ้าของร้านก็ปากใช่ย่อยเสียเมื่อไหร่ กิจการร้านค้านางก็เห็นเจริญรุ่งเรืองดี ไม่นึกเลยว่าจะเป็นลูกค้าเงินกู้ของเจ๊จอมโหดกับเขาด้วย อย่างนางพอจะเป็นลูกค้าเจ๊ไฝได้หรือเปล่านะ ปะเหมาะเคราะห์ดีนางอาจขอกู้บ้างสักก้อนเอาใช้หนี้พี่สาวหมุนๆ ไปก่อน แต่ก็ต้องใช้เงินโขอยู่ นางรู้สึกอิจฉาเจ๊ไฝขึ้นมาตงิด คนอะไรบุญพาวาสนาส่งเหลือเกิน เมื่อไม่กี่ปีก่อนยังเป็นอีไฝอยู่เลย พอได้กับสอทอเทพเท่านั้นแหละกลายเป็นเถ้าแก่เงินกู้หน้าตาเฉย วันๆ ไม่ต้องทำการทำงานอะไร ร่อนรถไปมาหาเก็บแต่ดอก สบายเสียจริง ไม่เหมือนนาง ทำเสริมสวยอยู่ดีๆ ก็ถูกไล่ออกมาเคว้งคว้าง โชคดีที่มีพี่สาวได้เจือจุน แต่ไม่รู้เมื่อไหร่จะใช้หนี้พี่สาวขี่บ่นได้ กิจการซักรีดของนางก็ไม่ใคร่จะดีนักเพราะอยู่ถึงก้นซอย แดดร้อนเหมือนถูกใบมีดกรีดขนาดนี้นางยังต้องทรมานเดินแหวกซอยออกมาซื้อข้าวผัดให้ลูกชายสมองไม่เต็มร้อยอีก ชีวิตคนเรานี่ช่างไม่สวยงามเอาเสียเลย เพราะนังคนรวยพวกนั้นแท้ๆ ที่ทำให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้ อย่าให้กูรวยขึ้นมาบ้างก็แล้วกัน นางคิดเพ้อไปเรื่อยกลางแดด

เสียงเอะอะโวยวายจากในร้านปลุกให้นางตื่นจากภวังค์ คงยังตกลงกันไม่ได้ ช่างเขาเถอะ นางเพียงอยากมาซื้อข้าวผัดหมูไข่ดาวสักห่อให้ลูกชาย ธนบัตรใบละห้าสิบในมือชุ่มเหงื่อไปหมดแล้ว

เหตุการณ์ภายในร้านของนางกระดังงาร้ายแรงกว่าที่นางซักรีดคิด ตอนที่นางโผล่หน้าเข้าไปนั้น สอทอเทพวิ่งไปวิ่งมาหลบขวดน้ำปลา ถ้วย จาน เขียงหั่นผัก กระทะ ปลากระป๋อง มาม่ารสต้มยำกุ้ง เครื่องคิดเลข ฯลฯ ตามแต่เจ๊ไฝกับม่ายกระดังงาจะคว้าติดมือได้ นางนึกออกแล้ว รถเก๋งที่นางเห็นในซอยคือรถสอทอนี่เอง นางเห็นใบหน้าอูมเปื้อนเหงื่อของสอทอเทพ มันเป็นสีชมพูดูเหมือนหน้าหมู นางนึกถึงลูกชาย ป่านนี้คงร้องกวนอีเปิ้ลเพราะหิวอยากกินข้าวผัดหมู พลันเลือดในกายนางก็พลุ่งพล่าน น้ำตาเอ่อคลอเบ้าด้วยความคับแค้น สอทอเทพคนที่ชนสามีของนางตาย เขาต่อสู้คดีเพียงปีเดียวก็เสร็จสิ้นกระบวนความ สอทอไม่ติดคุก ศาลตัดสินว่าคู่กรณีประมาทร่วม สอทอไม่เคยมีประวัติต้องคดีอุกฉกรรจ์ เป็นผู้ทำคุณประโยชน์ให้กับสังคม สอทอเทพจึงเพียงได้รับโทษปรับไม่กี่หมื่นและโทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้เท่านั้น นางสงสัยว่าคนเป็นสมาชิกสภาเทศบาลหากถูกคดีแบบนี้ต้องหลุดจากตำแหน่งหน้าที่หรือเปล่า นางไม่รู้อะไรเกี่ยวกับกฎหมายเลย

เสียงด่าทอของเจ๊ไฝจับใจความได้ว่านางกระดังงาแย่งสามีนาง ฝ่ายม่ายกระดังงาโต้กลับบ้างว่าทำไมไม่จับผัวให้ดีๆ กลิ่นน้ำปลาเหม็นคละคลุ้งตรงประตู นางซักรีดเห็นกระทะผัดข้าวคว่ำหน้าอยู่ไม่ไกล นางนึกถึงหน้าลูกชาย นางเพียงอยากซื้อข้าวผัดหมูไข่ดาวสักห่อให้ลูกชายแล้วรีบกลับ

นอกจากนี้ นางไม่ต้องการ

ถ้วยกระเบื้องตราไก่ละลิ่วลอยปะทะโหนกแก้มเจ๊ไฝอย่างจัง เรียกแผลแตกในทันที เจ๊ไฝยืนมึนชั่ววินาทีก็เอามือกุมแก้มพบเลือดทะลักเต็มอุ้งมือ นางคำรามลั่น กระโจนเข้าคว้าขวดน้ำมันเบนซินแบ่งขายขวดละสี่สิบบาทขว้างใส่ม่ายสาวทันที แม่ม่ายกระดังงาคล่องตัวกว่าที่คิด นางหลบขวดน้ำมันได้เฉียดฉิว กลิ่นน้ำมันเบนซินเก้าห้าสีเขียวอ่อนฉุนแสบจมูก เจ๊ไฝคว้าขวดใหม่ขว้างไปหากระดังงาตัวแสบ นางหลบพ้นไปได้อีก สอทอเทพทะเล่อทะล่าเข้าห้ามผู้เป็นเมีย กลับถูกเจ๊ไฝขว้างขวดน้ำมันใส่อีกคน คราวนี้เจ๊จอมโหดไม่สนใจอะไรแล้ว นางขว้างขวดน้ำมันราวสิบขวดสะเปะสะปะไปทั่วร้านชำของศัตรู เลือดที่โหนกแก้มยังไหลไม่หยุดทำให้หน้าตาเจ๊ไฝดูเหมือนไก่ชนที่กำลังจะแพ้ นางบ้าเลือดแล้ว คลั่งเกินสิ่งใดฉุดรั้ง เจ๊จอมโหดวิ่งไปที่หน้าเตาผัดข้าว คว้าไฟแช็กกับผ้าขี้ริ้วเช็ดมือวิ่งกลับไปที่ชั้นวางน้ำมันขวด ทุบน้ำมันที่เหลือขวดสุดท้ายดังโพละ ขยุ้มผ้าขี้ริ้วลงไปคลุกกับน้ำมันที่พื้น จุดไฟแช็กจ่อที่ผ้า โยนไปแปะเอาตรงชั้นวางของที่อาบน้ำมันอยู่ก่อนแล้วพอดี

นางร้านซักรีดยืนตะลึงมองภาพต่างๆ ด้วยความรู้สึกสับสนปนเป แวบหนึ่งนางรู้สึกสมน้ำหน้าสอทอเทพ สะใจลึกๆ กับหายนะตรงหน้า นางพาลคิดถึงตอนสอทอเทพชนสามีของนางหมดลมหายใจคาที่ เวทนาตัวเองที่ต้องเลี้ยงลูกชายไม่สมประกอบตามลำพัง ครั้นนางเห็นเลือดท่วมหน้าเจ๊ไฝจอมโหดก็ดีใจ คงเจ็บแย่สินะ นางหน้าเลือด นางกระดังงาแย่งสามีชาวบ้านนั่นอีกคน วันนี้แหละนางได้เป็นกระดังงาลนไฟของจริง

เปลวไฟเริ่มลุกพรึบขึ้นที่ชั้นวางสินค้าเบ็ดเตล็ด ลุกลามไปยังจุดอื่นอย่างรวดเร็วเพราะได้น้ำมันเบนซินเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี คนทั้งสามกระโดดหนีไฟและคำรามใส่กันราวคนบ้า นางซักรีดเห็นแล้วได้แต่สังเวชใจ เปลวไฟลุกลามแผดเผาไปทั่ว เห็นท่าไม่ดีนางซักรีดก็หันหลังจะวิ่งออกจากร้าน พลันนั้น เท้านางเหยียบเข้ากับกระทะผัดข้าวที่คว่ำอยู่บนพื้นใกล้ธรณีประตู นางเสียหลักล้มลงก้นจ้ำเบ้า เจ็บก้นกอยจนน้ำตาไหล เห็นกระทะแล้วให้นึกถึงหน้าลูกชายที่รอกินข้าวผัดหมูไข่ดาว อารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมาแข่งกับเปลวเพลิงที่กำลังลุกลามอย่างไม่อาจรั้ง นางตั้งหลักได้พร้อมกับคว้ากระทะติดมือ ขว้างเข้าไปในร้านเต็มแรงเกิด

เป็นจังหวะเดียวกับที่สอทอเทพ ม่ายกระดังงา และเจ๊ไฝวิ่งหนีไฟสวนออกมาพอดี

เหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งมโหฬารในซอยเจริญสุข เป็นข่าวดังไปทั่วประเทศตอนหน้าร้อน เพลิงมฤตยูลุกลามกินตึกรามบ้านช่องไปถึงครึ่งซอย

นับเป็นความวินาศสันตะโรครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของซอยโทรมๆ แห่งเทศบาลอันเจริญรุ่งเรืองนี้

ว่ากันว่า…เหตุการณ์คราวนั้น นางคนหนึ่งเป็นเจ้าทุกข์ นางคนหนึ่งเป็นผู้ต้องหา และนางคนหนึ่งเป็นพยานผู้เห็นเหตุการณ์

ว่ากันอีกว่า วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ราว 13:00 น.