เจ้าเซ็น (1)

ญาดา อารัมภีร

สมัยกรุงศรีอยุธยา แผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมี ‘พิธีเจ้าเซ็น’ หรือ ‘พิธีเต้นเจ้าเซ็น’ พิธีกรรมของศาสนาอิสลามแล้ว ดังที่ “จดหมายเหตุ ลาลูแบร์” (ฉบับสันต์ ท. โกมลบุตร แปล) บันทึกไว้ว่า

“สมเด็จพระเจ้ากรุงสยามโปรดให้สร้างสุเหร่าขึ้นเป็นหลายแห่ง และทุกวันนี้ก็ยังโปรดพระราชทานพระราชทรัพย์เป็นค่าใช้จ่ายในพิธีทางศาสนาอันสำคัญ ซึ่งพวกแขกมัวร์ทำการเฉลิมฉลองติดต่อกันอยู่ตั้งหลายวัน เพื่อเป็นอนุสติถึงวันมรณภาพของอาลี หรือวันมรณภาพพระบุตรของอาลี”

บาทหลวงตาชารด์ คณะเยซูอิดที่เดินทางเข้ามาช่วงปลายรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้เล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างสังคมอยุธยากับศาสนาอิสลามไว้ใน “จดหมายเหตุการเดินทางสู่ประเทศสยาม” (ฉบับสันต์ ท. โกมลบุตร แปล) ดังนี้

“มีคนสยามเป็นอันมากทั้งชายหญิงทุกวัยที่นับถือศาสนาพระมะหะหมัด ด้วยว่านับตั้งแต่มีพวกมัวร์เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรแล้ว ก็ดึงผู้คนพื้นเมืองไปเข้าศาสนาได้มิใช่น้อย”

(อักขรวิธีตามต้นฉบับ)

 

คําว่า ‘เจ้าเซ็น’ พบในวรรณคดีสมัยรัตนโกสินทร์หลายเรื่องด้วยกัน เป็นหลักฐานยืนยันเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวไทยมุสลิมชีอะห์บนผืนแผ่นดินไทย ดังจะเห็นได้จาก ‘เห่บทเจ้าเซ็น’ ใน “กาพย์เห่เรือ” พระราชนิพนธ์รัชกาลที่ 2

“ดลเดือนมหะหร่ำเจ้า เซ็นปี ใหม่แม่

มะหง่นประปรานทวี เทวษไห้

ห่อนเห็นมิ่งมารศรี เสมอชีพ มานา

เรียมลูบอกไล้ไล้ คู่ข้อนทรวงเซ็น

ดลเดือนเรียกมหะหร่ำ ขึ้นสองค่ำแขกตั้งการ

เจ้าเซ็นสิบวันวาร ประหารอกฟกฟูมนัยน์

มหะหร่ำเรียมคอยเคร่า ไม่เห็นเจ้าเศร้าเสียใจ

ลูบอกโอ้อาลัย ลาลดล้ำกำสรวลเซ็น ฯ”

ชาวไทยมุสลิมชีอะห์มิใช่อาศัยอยู่ในเมืองไทยเท่านั้น ยังประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อของศาสนาอิสลามอีกด้วย ‘พิธีเต้นเจ้าเซ็น’ หรือ ‘พิธีเจ้าเซ็น’ ที่บันทึกไว้ในวรรณคดีสมัยรัตนโกสินทร์นั้นเป็นพิธีที่สืบเนื่องมาจากสมัยท่านฮุเซนเป็นอิหม่าม (ผู้นำในศาสนาอิสลาม) ถูกทารุณกรรมและสังหารอย่างเหี้ยมโหดพร้อมบริวารอีก 72 คนที่กัรบะลาอ์

พิธีไว้อาลัยจัดขึ้นทุกเดือนมหะหร่ำ หรือมุฮัรรอม (ชื่อเดือนแรกตามปฏิทินของอิสลาม) จะเรียกว่าขึ้นปีใหม่อิสลามก็ได้ เป็นเดือนสำหรับจัด ‘พิธีมหะหร่ำ’ หรือ ‘พิธีอาชูรออ์’ ที่คนไทยเรียกว่า ‘พิธีเจ้าเซ็น’ หรือ’ พิธีเต้นเจ้าเซ็น’ ดังที่โคลงบรรยายว่า

“ดลเดือนมหะหร่ำเจ้า เซ็นปี ใหม่แม่

มะหง่นประปรานทวี เทวษไห้”

 

‘แขกมะหง่น’ คือชาวไทยเชื้อสายเปอร์เซียต่างร่ำไห้อาลัยรักระลึกถึงอิหม่ามฮุเซน (หลานตาศาสนทูตมุฮัมหมัด) และบริวารที่ถูกสังหารในวันอาชูรออ์ ซึ่งตรงกับวันที่ 10 เดือนมหะหร่ำ หรือเดือนมุฮัรรอม ฮิจเราะห์ที่ 6 ของศาสนาอิสลาม (10 ตุลาคม ค.ศ.680 หรือ พ.ศ.1223)

ที่เรียกว่า ‘วันอาชูรออ์’ หรือ ‘พิธีอาชูรออ์’ เพราะคำว่า ‘อาชูรออ์’ เป็นภาษาอารบิก แปลว่า 10 หรือวันที่ 10 ส่วนคำว่า ‘เจ้าเซ็น’ หรือ ‘แขกเจ้าเซ็น’ ศาสตราจารย์ ดร.รื่นฤทัย สัจจพันธุ์ ราชบัณฑิตสาขาวรรณกรรม สันนิษฐานว่ามาจากคำว่า ‘ยาฮุเซน’ ซึ่งเป็นคำที่ผู้ไว้อาลัยต่อท่านฮุเซนกล่าวในพิธี

ทุกปีพิธีจัดขึ้นรวม 10 วัน เริ่มตั้งแต่วันแรกของเดือนมหะหร่ำจนถึงวันที่ 10 หรือวันอาชูรออ์ ส่วนหนึ่งของพิธีเล่าถึงประวัติศาสตร์ประกอบการร้องรำพันถึงการจากไปของท่านฮุเซนและบริวาร ดังข้อความว่า

“ดลเดือนเรียกมหะหร่ำ ขึ้นสองค่ำแขกตั้งการ

เจ้าเซ็นสิบวันวาร ประหารอกฟกฟูมนัยน์”

 

สมัยรัชกาลที่ 3 กรมหมื่นไกรสรวิชิตได้ทรงพระนิพนธ์ “จารึกโคลงภาพคนต่างภาษา” ตอนหนึ่งว่า

“อาหรับภาพพวกนี้ แต่งกาย

เสื้อเศวตโสภณกรอม ค่อเท้า

กางเกงวิลาศลาย แลเลี่ยน

จีบจะดัดเกี้ยวเกล้า ต่างสี ฯ

เครื่องดำหมวกเสื้อเปลี่ยน แปลกตัว

ปางหุเซ็นถึงปี ป่าวพ้อง

ลุยเพลิงควั่นหัวจน โลหิต ถั่งนา

เต้นตบอกเร้าร้อง ร่ำเซ็น ฯ” (อักขรวิธีตามต้นฉบับ)

โคลงบทแรกทำให้เรามองเห็นภาพการแต่งกายของชาวอาหรับ สวมเสื้อขาวยาวกรอมข้อเท้า และนุ่งกางเกงลายเนื้อผ้าเป็นมัน มีผ้าคลุมหรือผ้าโพกศีรษะต่างสีกัน

โคลงบทที่สองบอกให้รู้ว่าเมื่อถึงเทศกาลมหะหร่ำ หรือเทศกาลฮุเซน ก็เปลี่ยนไปแต่งกายสีดำทั้งเสื้อและหมวกเป็นการไว้ทุกข์ พิธีกรรมทางศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์มีทั้ง ‘ลุยเพลิง’ (ลุยไฟ) ‘ควั่นหัว’ (เอามีดกรีดศีรษะให้เลือดออก) และ ‘เต้นตบอกเร้าร้อง ร่ำเซ็น’ คือระหว่างเต้นก็ตบอกร้องไห้สาปแช่งศัตรู

ยังมีวรรณคดีไทยอีกหลายเรื่องกล่าวถึงพิธีกรรมนี้ ติดตามฉบับหน้า •

 

จ๋าจ๊ะ วรรณคดี | ญาดา อารัมภีร