สหาย ศัตรู และจีโนมพันล้าน (ซีรีส์ประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมไบโอเทคตอนที่ 45)

ภาคภูมิ ทรัพย์สุนทร

Biology Beyond Nature | ภาคภูมิ ทรัพย์สุนทร

 

สหาย ศัตรู และจีโนมพันล้าน

(ซีรีส์ประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมไบโอเทคตอนที่ 45)

 

เรื่องเล่าประวัติศาสตร์ศึกชิงจีโนมมนุษย์ (the race to sequence human genome) ส่วนมากมักจะฉายสปอตไลต์ไปที่การแข่งขันระหว่างโครงการจีโนมมนุษย์ของรัฐบาลนำโดย Francis Collins จาก NIH และของโครงการจีโนมมนุษย์ภาคเอกชนนำโดย Craig Venter จากบริษัท Celera Genomics

แต่ความเป็นจริงซับซ้อนกว่านั้นมาก เพราะทั้งฝั่งรัฐบาลและเอกชนต่างก็ต้องรับมือกับศึกนอกศึกในจับคู่ข้ามขั้วสร้างพันธมิตรกันชุลมุน

โครงการฝั่งรัฐบาลประกอบด้วยกลุ่มวิจัยย่อยๆ ตามมหาวิทยาลัยที่ต่างก็ต้องแข่งขันแย่งชิงทุนวิจัยกัน การได้โควต้าสร้างแผนที่ยีนและอ่านลำดับเบสหมายถึงทั้งงบประมาณและชื่อเสียงที่อาจจะตามมา ในระดับหน่วยงานให้ทุนกระทรวงพลังงาน (Department of Energy, DOE) และสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (National Institute of Health, NIH) ก็เคยต้องแย่งกันเป็นผู้นำโครงการจีโนมมนุษย์ของรัฐบาลสหรัฐ

แม้แต่ในระดับนานาชาติรัฐบาลของแต่ละประเทศที่จับมือเป็นพันธมิตรอยู่ในสภาพันธ์จีโนมก็ยังระแวงกันอยู่ว่าใครจะเล่นตุกติกเมื่อไหร่

Cr.ณฤภรณ์ โสดา

โครงการฝั่งเอกชนดุเดือดไม่แพ้กัน เม็ดเงินมหาศาลในอุตสาหกรรมไบโอเทคนำมาสู่โมเดลธุรกิจใหม่ๆ จากเดิมที่มีแค่บริษัทยาขนาดใหญ่ (“big pharma”) ก็เริ่มมีสตาร์ตอัพที่คิดค้นยาและกระบวนการผลิตมาขายบริษัทยา มีบริษัทคิดค้นเครื่องมืออย่างเครื่องอ่านและสังเคราะห์ดีเอ็นเอเพื่อการค้นหาเป้าหมายยา

นอกจากนี้ ก็ยังมีบริษัทวิเคราะห์และขายข้อมูลจีโนมมาเป็นตัวกลางระหว่างบริษัทเครื่องมือกับบริษัทยาอีกที แต่ละโมเดลธุรกิจมีหลายบริษัทแข่งขันกันอยู่ บริษัทต่างโมเดลธุรกิจที่ควรจะเป็นพันธมิตรคู่ค้ากันบางทีก็ขยายขอบเขตจนรุกล้ำทับเส้นกลายเป็นศัตรูคู่แข่งกัน

ดังนั้น แม้ว่า Collins ปะทะ Venter จะเปรียบเสมือนมวยคู่เอกกลางเวที ศึกชิงจีโนมก็ยังมีมวยอีกหลายคู่ทั้งขอบสนามและนอกสนามที่น่าจับตามอง

ทีมวิจัยของ Maynard Olson จาก University of Washington เป็นหนึ่งผู้รับทุนวิจัยโดยตรงจาก NIH ในโครงการจีโนมมนุษย์ของรัฐบาล ทีมของ Olson เอาเงินนี้ไปจ้าง InCyte Pharmaceutical บริษัทขายข้อมูลพันธุกรรมที่เป็นคู่แข่งสำคัญ Celera ข่าววงในบอกว่างานอ่านลำดับเบสที่ InCyte ได้รับการว่าจ้างนี้มากกว่างานอ่านลำดับเบสทั้งหมดที่โครงการจีโนมมนุษย์ฝั่งรัฐบาลทำมาเกือบสองเท่า

พอ Venter โวยว่า NIH ชกใต้เข็มขัดเอาเงินภาษีไปช่วยคู่แข่ง Celera ทางอ้อม Collins ก็ปฏิเสธว่าเขาไม่ได้มีอำนาจไปควบคุมว่าทีมวิจัยต่างๆ ในโครงการจีโนมของรัฐจะบริหารจัดการทุนที่ได้ไปอย่างไร

ตัวอย่างความพยายามจับคู่ข้ามขั้วพันธมิตรในศึกชิงจีโนมมนุษย์
Cr.ณฤภรณ์ โสดา

ข้ามมาที่ฝั่ง DOE หน่วยงานของรัฐที่ริเริ่มการผลักดันโครงการจีโนมมนุษย์แต่ถูกแย่งซีนจาก NIH ที่มาทีหลังมองว่าการจับมือเป็นพันธมิตรกับ “เอกชนดาวรุ่ง” อย่าง Celera น่าจะกอบกู้สถานะของ DOE ในฐานะผู้นำโครงการจีโนมมนุษย์ฝั่งรัฐบาลกลับมาอีกครั้ง ส่วน Celera ก็มองว่าการได้ผูกมิตรกับหน่วยงานใหญ่ภาครัฐน่าจะช่วยปรับปรุงภาพลักษณ์ของบริษัทในสายตาประชาชนทั่วไป

อย่างไรก็ตาม แผนกพัฒนาธุรกิจของ Celera ไม่ได้เห็นด้วยกับการเป็นพันธมิตรกับ DOE โดยมองว่าดีลกับหน่วยงานของรัฐแบบนี้อาจจะช่วยเรื่องภาพลักษณ์ การหาเงินทุน และการแบ่งปันข้อมูลความชำนาญ

แต่สิ่งที่ต้องเสียไปคือการต้องเปิดเผยข้อมูลจีโนมเร็วขึ้นมากขึ้น ยิ่งเปิดมากเท่าไหร่มูลค่าของข้อมูล “ลับ” เหล่านี้ในสายตาของบริษัทยาซึ่งน่าจะเป็นลูกค้ารายใหญ่ของ Celera ก็ยิ่งลดลง

พันธมิตรระหว่าง DOE – Celera ยังไม่ทันได้เกิดก็ถูก NIH สกัดขา เหล่าหัวหน้าทีมวิจัยในโครงการจีโนมมนุษย์ของรัฐบาลไม่พอใจมากเพราะรู้สึกว่า Celera แอบเข้าตีหลังบ้าน จะใช้ DOE เป็นหมากเดินเกมบีบให้ NIH ต้องเข้าร่วม DOE ถูกขู่ว่าจะโดนบอยคอตไม่เพียงจากโครงการจีโนมมนุษย์แต่รวมถึงโครงการด้านชีวการแพทย์อื่นๆ ที่ NIH ถือไพ่เหนือกว่าอยู่มาก

เงื่อนไขเดียวที่เป็นไปได้คือให้ NIH และ Wellcome Trust Sanger (ศูนย์วิจัยจีโนมจากฝั่งอังกฤษ) ร่วมวงด้วย และ Celera ก็ต้องยอมเปิดเผยข้อมูลจีโนมทั้งหมดตาม Bermuda Accord ซึ่งยังไง Celera ก็ไม่ยอมแน่ๆ

แม้ว่าดีลจะล่มแต่ Celera ก็ยังได้รับข่าวดีช่วงปลายปี 1998 เมื่อบริษัทยาและไบโอเทคหลายเจ้าที่เริ่มเห็นโอกาส เข้ามาจับจองสิทธิเข้าถึงข้อมูลและเครื่องมือวิเคราะห์จีโนมล่วงหน้าทั้งที่ Celera ยังไม่ได้เริ่มอ่านลำดับเบสสักตัวเลยด้วยซ้ำ

สัญญาซื้อขายแรกมูลค่า 25 ล้านเหรียญสหรัฐมาจาก AMGen บริษัทยาและไบโอเทคชื่อดัง อีกหลายสัญญาที่ตามมาปีนั้นรวมกันได้มูลค่าถึง 75 ล้านเหรียญสหรัฐ

ขณะเดียวกัน Celera ก็เดินเกมโต้กลับ NIH ในปีกรบฝั่งการเมือง ล็อบบี้ทำความเข้าใจกับ ส.ส.ในสภาว่า Celera นั้นเจตนาดี จะถอดรหัสโครงการจีโนมมนุษย์ให้เสร็จไว แถมไม่ต้องใช้เงินภาษี โครงการจีโนมมนุษย์ฝั่งรัฐบาลก็ปล่อยเดินหน้าต่อไปเป็นแผนสำรองก็ได้ แต่ถ้า Celera ทำสำเร็จก่อนจริงก็ไม่มีประโยชน์ที่รัฐบาลจะต้องเสียเงินซ้ำซ้อน เอาไปทำวิจัยอย่างอื่นต่อดีกว่า

ความเคลื่อนไหวนี้สร้างความหวาดหวั่นให้กับเหล่าหัวหน้าทีมวิจัยฝั่ง NIH พวกเขาอาจจะไม่ต้องแคร์เรื่องหาลูกค้าทำกำไรสร้างงานวิจัยขายได้อย่าง Celera

แต่ทุนวิจัยภาครัฐจากเงินภาษีนั้นขึ้นกับเสียงในสภาและแรงสนับสนุนภาคประชาชน ถ้าคนทั่วไปเห็นว่าผลงานของ Celera ไม่ต่างจากของ NIH แถมยังถูกและเร็วกว่า โครงการจีโนมฝั่งรัฐบาลมีโอกาสโดนยุบแน่

ดังนั้น พวกเขาก็จำต้องโจมตีโครงการของ Celera หนักขึ้น อธิบายขยายความปัญหาต่างๆ ทั้งเรื่องคุณภาพข้อมูล และความเสี่ยงที่เอกชนรายเดียวจะกินรวบผูกขาด

โครงการจีโนมมนุษย์ภาครัฐเตรียมระดมซื้อเครื่องอ่านลำดับเบสดีเอ็นเอไว้แข่งกับ Celera
Cr.ณฤภรณ์ โสดา

Collins ยังได้ปรับกระบวนทัพโครงการจีโนมฝั่งรัฐบาลใหม่ จากเดิมที่ให้ทุนกลุ่มวิจัยกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยกระจัดกระจายก็กลับมาโฟกัสที่กลุ่มวิจัยใหญ่ๆ ศักยภาพสูงที่น่าจะทำให้ชนะศึกนี้ได้จริง Washington University ได้ 78 ล้าน, Baylor College ได้ 31 ล้าน, Whitehead Institute ได้ 93 ล้าน (แถมสถาบันยังออกเงินอัดฉีดเองอีก 38 ล้าน) ส่วน Wellcome Trust Sanger ก็ได้เงินจากฝั่งอังกฤษไป 77 ล้าน

ด้วยทุนวิจัยก้อนโตเหล่านี้บรรดากลุ่มวิจัยในโครงการจีโนมมนุษย์ภาครัฐก็พร้อมติดอาวุธเสริมเขี้ยวเล็บไปลุยกับ Celera

ซึ่งอาวุธชิ้นสำคัญสำคัญที่สุดในศึกชิงจีโนมครั้งนี้ก็คือเครื่องอ่านลำดับเบส (DNA sequencer) รุ่นล่าสุด ABI Prism 3700 ที่ยังไม่ทันได้ออกตลาดของ PerkinElmer บริษัทแม่ของ Celera นั่นเอง

Washington University และ Baylor College เตรียมวางออร์เดอร์ DNA sequencer รุ่นใหม่นี้ที่ละ 30-40 เครื่อง Wellcome Trust Sanger 50 เครื่อง Whitehead Institute อีก 100 เครื่อง

หลายคนวิเคราะห์ว่า PerkinElmer จงใจปั้น Celera ขึ้นมาเพื่อกระตุ้นยอดขาย แต่ผู้บริหาร PerkinElmer ให้การปฏิเสธและกล่าวว่าทางบริษัทก็ตกใจที่ยอดสั่งเข้ามาเยอะขนาดนี้จากทีมวิจัยภาครัฐซึ่งปกติแล้วมักจะไม่ค่อยกล้าเสี่ยงซื้อของใหม่ๆ PerkinElmer สัญญาว่าจะส่งมอบสินค้าให้ได้ครบภายในสิงหาคม 1999

ทีมจีโนมมนุษย์ฝั่งรัฐบาลลองประเมินสถานการณ์ใหม่ว่าด้วย DNA sequencer เยอะขนาดนี้ ถ้าพวกเราลดเป้าหมายขั้นต้นให้เหลือแค่ถอดรหัสจีโนมมนุษย์ “เวอร์ชั่นหยาบๆ” ก่อน ไม่ต้องเป๊ะคุณภาพแบบที่ตั้งไว้ทีแรกสุด พวกเราน่าจะทำจีโนมเวอร์ชั่นนี้เสร็จได้ตั้งแต่ปี 2000 ด้วยซ้ำ และจะปาดหน้าเค้กชิงพื้นที่สื่อจากจอมสร้างข่าวอย่าง Celera ได้ก่อน คนทั่วไปโดยเฉพาะนักการเมืองที่ถืองบฯ ในสภาไม่เข้าใจความต่างเรื่องคุณภาพข้อมูลจีโนมหรอก รู้แค่ว่าใครเสร็จก่อนเสร็จหลัง และพวกเราต้องเสร็จก่อน

พอทราบข่าวทั้งเรื่องคำสั่งซื้อ DNA sequencer ภาครัฐและเรื่องเดดไลน์ถอดรหัสจีโนมใหม่ ฝั่ง Celera ก็ถึงคราวต้องตื่นตระหนกบ้าง

พวกเขาเพิ่งได้ DNA sequencer มาสิบกว่าเครื่องจาก PerkinElmer แถมยังใช้งานไม่ได้ PerkinElmer เองก็ไม่ได้แจ้งเรื่องที่จะส่งมอบ DNA sequencer ให้กลุ่มวิจัยภาครัฐเป็นร้อยๆ เครื่องจนเหมือนกันว่าบริษัทแม่ขายอาวุธให้คู่แข่งบริษัทลูกตัวเองแบบนี้

ส่วนเดดไลน์ถอดรหัสจีโนมใหม่ก็แทบจะทำลายจุดแข็งทางธุรกิจของ Celera ไป ในเมื่อบริษัทยาและไบโอเทคสามารถเอาข้อมูลที่ทั้งฟรีและไวกว่าจากโครงการจีโนมรัฐใครจะอยากมาสมัครซื้อของ Celera?

Celera วางแผนจะใช้ข้อมูลลำดับเบสจากโครงการจีโนมภาครัฐในการประกอบจีโนมในโครงการตัวเอง
Cr.ณฤภรณ์ โสดา

Venter รีบไปเร่งให้ PerkinElmer ส่งมอบ DNA sequencer ทั้งหมดตามที่สัญญาไว้ภายในกลางปี 1999 นอกจากนี้ ยังปรับแผนใหม่ แผนที่นักวิเคราะห์หลายคนบอกว่าเป็นการเล่นโกงตามกติกา

ทุกทีมวิจัยในโครงการจีโนมภาครัฐต้องทำตาม Bermuda Accord ด้วยการแชร์ข้อมูลลำดับเบสที่อ่านได้สู่ฐานข้อมูลสาธารณะภายใน 24 ชั่วโมง แต่ Celera ไม่ต้องทำตามนั้นและเคยสัญญาไว้เพียงจะแชร์ข้อมูลทุก 3 เดือน ดังนั้น Celera สามารถจะเอาข้อมูลที่จากโครงการจีโนมของรัฐมาใช้แทบจะทันที ประกอบกับข้อมูลที่ตัวเองมีอยู่เป็นจีโนมที่สมบูรณ์ได้ไวขึ้น

ยิ่งทีมวิจัยในโครงการจีโนมภาครัฐทำงานอ่านลำดับเบสได้เร็วแค่ไหน ก็ยิ่งช่วยให้ Celera ประกอบข้อมูลจีโนมได้เร็วขึ้นเท่านั้น ในทางกลับกันกว่าโครงการจีโนมภาครัฐจะใช้ประโยชน์จากข้อมูล “ฟรี” ของ Celera ได้ก็ต้องรออย่างน้อย 3 เดือน

การแข่งขันนี้จะลงเอยอย่างไร ติดตามต่อครับ