ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 7 - 13 มิถุนายน 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
ผู้เขียน | จารุวิชญ์ สิงคะเนติ |
เผยแพร่ |
ผศ.เอกวีร์ มีสุข อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มองกรณีอัยการสูงสุด นัดฟังคำสั่งฟ้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตาม ป.อาญามาตรา 112 จากเหตุให้สัมภาษณ์กับสื่อของเกาหลีใต้ ตั้งแต่คุณทักษิณกลับมาเมืองไทย ได้แสดงบทบาทของความเป็นผู้นำในทางการเมืองที่ไม่ได้ตำแหน่งที่เป็นทางการ แต่แสดงบทบาทการเป็นผู้นำเชิงบารมีที่เข้มแข็งมากและอาจจะเข้มแข็งกว่าผู้นำที่อยู่ในตำแหน่งที่เป็นทางการ
ซึ่งการแสดงออกในลักษณะนี้ ก่อให้เกิดความกังวลกับบางฝ่ายว่าเป็นการแสดงอำนาจที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่ามีพระอาทิตย์มากกว่า 1 ดวงในทางการเมืองไทย
ทำให้ปฏิกิริยาที่มีต่อคุณทักษิณโดนทั้งฝั่งที่อาจจะเรียกได้ว่าฝั่งที่เคยอยู่ตรงข้ามมาก่อน ตอนนี้อาจจะมองว่าเขาอาจจะร่วมมือกันชั่วคราวก็จริง แต่ฝั่งที่มีความก้าวหน้าก็รู้สึกไม่ค่อยชอบใจกับลักษณะบางอย่างของคุณทักษิณ ที่แสดงบทบาทในแง่หนึ่งก็เป็นการพยายามเดินเกมในทางการเมืองที่พยายามสร้างความนิยมแล้วก็ดึงฐานะอำนาจของตัวเองกลับมา
คดี 112 ต้องยอมรับเหมือนกันว่า ถ้าเราพิจารณาในมุมข้อกฎหมายและช่วงจังหวะในทางการเมือง คดี 112 จังหวะมันออกมาในช่วงจังหวะที่คุณทักษิณมีภาพลักษณ์ของการฉายความเป็นผู้นำ เชิงบารมีเต็มที่ สิ่งเหล่านี้ก็กระทบต่อการเดินเกมทางการเมือง
แต่ในมุมมองของผม การดำเนินคดีในครั้งนี้ต้องอาศัยระยะเวลาในการพิจารณาและการไต่สวนอยู่ค่อนข้างนาน
อย่างน้อยที่สุดผมคิดว่าในระยะสั้นคุณทักษิณคงไม่ได้โดนอะไร แต่ว่าคงเป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่ทำเพื่อปรามคุณทักษิณ และทำให้คุณทักษิณต้องระมัดระวังในการแสดงบทบาทมากขึ้น
การที่คุณทักษิณโดนสั่งฟ้องเหมือนไฟเหลือง อย่างเวลาเราขับรถ ถ้าไฟเขียวก็เหยียบเต็มที่ แต่พอไฟเหลืองคุณต้องลังเลแล้วว่าคุณจะเหยียบเพื่อให้ทันก่อนไฟแดง หรือว่าคุณจะเบรก
อย่างน้อยที่สุดผลกระทบต่อคดีคงไม่ได้เร็วๆ นี้หรอก แต่เป็นการส่งสัญญาณบางอย่างว่าอย่างน้อยที่สุดให้ระมัดระวังในการเดินเกมในทางการเมือง
ในส่วนหนึ่งพอกระทบต่อคุณทักษิณ ก็จะกระทบต่อพรรคเพื่อไทยแน่นอน ในแง่ของความเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เพราะว่าเป็นคดีที่ละเอียดอ่อน แล้วเป็นคดีที่หลายคนมองว่ามีข้อถกเถียงเยอะ ทั้งในทางความรู้สึกของสาธารณชนก็ดี รวมไปถึงประเด็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน
ที่สำคัญอาจจะมีผลต่อภาวะการต่อรองของคุณทักษิณ การที่โดนคดีเหล่านี้ อาจจะกลายเป็นมุมกลับ ภาวะผู้นำของเขาอาจจะถูกบดบังลงไป
ถ้าเอาตรงๆ ก็คือว่ากรณีของคุณทักษิณในแง่หนึ่งเป็นการปราม
แต่ในแง่หนึ่งก็เป็นการฉายภาวะความเป็นผู้นำของคุณทักษิณ ว่าเป็นจุดศูนย์กลางในทางการเมืองไทย ณ ขณะนี้จริงๆ
หลังจากนี้ผมคิดว่าท่าทีของพรรคเพื่อไทยต่อเรื่อง 112 ก็น่าจะดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมภายใต้ระบบกฎหมายที่มีอยู่มากกว่า
อนาคตเศรษฐา
จากกรณีของ 40 ส.ว. ผมคิดว่าเป็นการปรามไม่ต่างกัน เพียงแต่ในกรณีของคุณเศรษฐาจะต่างตรงที่ว่าผลการพิจารณาคดีจะไวกว่า
ดังนั้นแล้วกรณีคุณเศรษฐาจึงมีความเปราะบางมากกว่า ในแง่ของตัวผลการพิจารณาคดี
และอีกประเด็นหนึ่ง คือความเปราะบางในเชิงของอำนาจบารมีของคุณเศรษฐา ซึ่งต้องยอมรับว่าการเมืองและการบริหารราชการแผ่นดินยังใหม่ ต้องใช้ระยะเวลาอีกสักพัก อย่างน้อยที่สุดในช่วง 1-2 เดือน สถานะทางอำนาจของคุณเศรษฐาอาจจะยังไม่แน่นอนเท่าไหร่
ถึงแม้คุณเศรษฐาจะบริหารราชการแผ่นดินตามอำนาจ ตามกฎหมายได้อย่างปกติก็จริง แต่ว่า ณ ขณะนี้เกิดจะทำอะไรในเชิงการขับเคลื่อนใหญ่ก็จะลำบากเพราะขาดฐานความมั่นคงในทางการเมืองไป เนื่องจากโดนคดีในลักษณะแบบนี้ อย่างน้อยสุด ในช่วงเดือนนี้อาจจะต้องหนักใจนิดหนึ่ง
ถ้าให้ตั้งข้อสันนิษฐานว่าคดีลักษณะนี้เกี่ยวพันกับบุคคลการแต่งตั้งโยกย้าย เป็นจุดที่เสี่ยงที่สุดเพราะเรื่องบุคคลในแง่หนึ่งเป็นเรื่องที่ก้ำกึ่งระหว่างการใช้อำนาจทางกฎหมายและเรื่องดุลพินิจ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าศาลจะตีความว่าตัวเข้าข่ายทางด้านจริยธรรมหรือเปล่า ไม่รู้จะออกทางไหน
ถึงที่สุดแล้ว ถ้าต้องเปลี่ยนตัวในอนาคต โดยนายกฯ เป็นคนจากนอกพรรคที่ไม่ใช่พรรคเพื่อไทย ผมคิดว่าต้องตอบสังคมเยอะเหมือนกัน
จะกลับไปที่โจทย์เดิม เหมือนช่วงที่พรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลและได้เป็นนายกรัฐมนตรี ต้องยอมรับว่าการที่ได้ลำดับที่ 2 ในการเลือกตั้งก็เป็นข้อถกเถียงในทางสาธารณะอยู่พอสมควร
แม้ว่าในทางกระบวนการจะสามารถรวมเสียงทั้ง ส.ส.และ ส.ว.ได้ แต่ถ้าเป็นในกรณีนี้ใช้แค่เสียง ส.ส.เท่านั้นไม่มีข้อจำกัดเรื่อง ส.ว.อีกแล้ว ถ้าเกิดนายกรัฐมนตรีมาจากพรรคที่เป็นคะแนนลำดับรอง การตอบสาธารณชนยิ่งยากขึ้น
เพราะหมายความว่านายกฯ ที่จะเข้ามาฐานความชอบธรรมในเชิงคะแนนเสียงอย่างน้อยที่สุดคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ มันน้อยลงเข้าไปอีก
ดังนั้นแล้วการเป็นนายกรัฐมนตรีของคนที่จะเข้ามาจะต้องมีแรงเสียดทานจากสาธารณชนอยู่พอสมควร
อนาคตก้าวไกล
แม้จากผลสำรวจของสถาบันพระปกเกล้าเผยความนิยมของประชาชน 1 ปีหลังการเลือกตั้ง ส่วนใหญ่ยังวางใจเลือก ‘ก้าวไกล’ เป็นอันดับ 1 แต่ยังเร็วไปที่จะบอกว่าจะชนะในการเลือกตั้ง เพราะว่ายังมีปัจจัยอยู่หลายๆ เรื่องที่ส่งผลต่อการเลือกตั้ง เช่น ผลการเลือกตั้ง อบจ. น่าจะเห็นแนวโน้ม อย่างน้อยที่สุดผมอยากเห็นคะแนนเสียงการเลือกตั้งท้องถิ่นก่อนถึงจะมองได้
ดังนั้น ผมมองว่าก้าวไกลอาจจะมีแนวโน้มโตขึ้นมาก็จริง แต่ว่ายังมีแรงท้าทายอยู่ที่จะต้องทำอีกเยอะ เพราะต้องยอมรับว่าก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน ผลงานในฐานะฝ่ายค้านจับต้องได้ลำบาก
หมายความว่าในการตัดสินใจเลือกตั้งของคนยังยึดโยงกับตัวผลงานที่จับต้องได้ในพื้นที่ จะเห็นว่าในพื้นที่ในการเลือกตั้งหลายพื้นที่แยกบัตร 2 ใบกัน ปาร์ตี้ลิสต์เป็นของก้าวไกล แบ่งเขตเป็นของพรรคจับต้องผลงานได้
โจทย์ที่ก้าวไกลต้องเผชิญคือการเลือกตั้งในระดับเขต พอเป็นการเลือกตั้งในระดับเขต การจับต้องผลงานไม่ใช่เป็นสิ่งที่ทำได้โดยง่าย เพราะว่าเขตที่ก้าวไกลสามารถเจาะได้ในเท่าที่สังเกตมันเป็นเขตที่มีความทับซ้อนกับพื้นที่เสื้อแดงหลายเขต หรือบางเขตเป็นเขตที่คุณอาจจะไม่ได้จำเป็นต้องเน้นเรื่องผลงานในเชิงระดับเขต
แต่พื้นที่ที่เหลือเป็นพื้นที่ที่คุณอาจจะต้องให้ความสำคัญกับการสร้างผลงานในระดับพื้นที่ที่นักการเมืองจะต้องจับต้องได้
และสิ่งนี้ไม่แน่ใจว่าพรรคก้าวไกลได้วางตัวคนที่จะเป็น ส.ส.ตอนนี้หรือยัง ในพื้นที่ที่ก้าวไกลยังไม่ได้คะแนน เพราะถ้าคุณจะต้องทำคุณก็ต้องลงพื้นที่ล่วงหน้าอย่างยาวนาน
ซึ่งผมคิดว่าอาจจะยังขาดความพร้อมในเรื่องนี้
เพราะถ้ามีความพร้อมเรื่องนี้ การเลือกตั้ง อบจ.หลายๆ ที่มีการจัดเลือกตั้งล่วงหน้า เขาต้องพร้อมตั้งแต่ก่อนอยู่แล้ว คือจะต้องไม่มีสถานะการหาตัวแทนแคนดิเดตไม่ได้
อย่างที่ปทุมธานี ความจริงคุณต้องมีแคนดิเดตในมือก่อนตั้งนานแล้ว
พลังอำนาจเก่าอยู่ไหน?
เราจะเห็นว่าฝ่ายที่ถูกเรียกว่าอำนาจเก่าเหมือนจะมีพื้นที่เหลือน้อยลงเรื่อยๆ อำนาจเก่าต้องปรับตัว เพื่อรักษาอำนาจและคงอุดมการณ์ความเป็นรัฐนิยมและให้สังคมหล่อเลี้ยงความเป็นอนุรักษนิยมอย่างที่ผ่านมา
ผมคิดว่าเขามีบางช่วงที่เขาอ่อนแอ แต่กลไกในการทำงานในเชิงแนวคิด ในความเป็นอนุรักษนิยมของเขาหลายส่วนยังดำเนินการได้อยู่
อย่างน้อยที่สุดผมคิดว่าในระบบราชการที่มีหลายส่วนที่เป็นตัวแทนของการสื่อสารแล้วก็การสืบทอดแนวคิดที่มีลักษณะอนุรักษนิยมยังคงทำงานอยู่แม้ว่าจะไม่มีพรรคการเมือง หรือกลุ่มอำนาจเก่าอยู่ในลักษณะแบบนี้ แต่มันเป็นกลไกที่ทำงานโดยเป็นธรรมชาติ
ผมเลยรู้สึกว่าเขาอาจจะยังรักษาอำนาจบางประการไว้ได้ ผ่านอำนาจประเพณีที่สืบทอดกันมา แต่ว่าแรงท้าทายจะมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ว่าอย่างน้อยในระยะสั้นยังไม่นำไปสู่จุดเปลี่ยนทางการเมืองอะไร แต่ขึ้นอยู่กับว่าจะมีจุดเปลี่ยนทางการเมืองที่ทำให้คนรู้สึกรับไม่ได้กับการดำเนินงานของฝั่งอนุรักษนิยมหรือเปล่า
ถึงที่สุดกรณีของพรรคก้าวไกลว่าจะโดนยุบหรือไม่ ก็ยังเป็นตัวที่ต้องจับตาดูอยู่
ชมคลิป
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022