‘โกยเส่งอ๋อง’ มหาเทพฮกเกี้ยน กับ ‘ป้ายชื่อผิด’ ที่ขอได้โปรดแก้ไขด้วยเถิด

คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง

เมื่อผมไปเยือนศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรีครั้งแรก ก็รู้สึกประทับใจกับศาลเจ้าแบบจีนที่สร้างครอบศาลแบบไทย ภายในประดิษฐานเทวรูปหินพระนารายณ์แบบทวารวดีสององค์ ชาวบ้านนับถือเป็นพระหลักเมืองมาช้านาน จึงเซ่นวักตามธรรมเนียมไทย-จีน พอตรุษสารทก็มีหัวหมูสุราบานมาถวายมิได้ขาด

ถ้าจำไม่ผิด ป้ายภาษาจีนจะเขียนนามพระนารายณ์สององค์นี้ว่า “เล่าปุนเถ้าก๊อง” (ภาษาบิ่นหลำสำเนียงแต้จิ๋วออกเสียงว่า เหล่าปึงเถ่ากง) ซึ่งหมายถึงเทพารักษ์แห่งพื้นที่นั้นตามความเชื่อจีน เทวรูปแบบเดียวกันที่พบในที่อื่นชาวบ้านเรียกว่า “เจ้าพ่อพระยาจักร” เจ้าพ่อจักรทอง ฯลฯ ไปตามลักษณะที่เห็น

คนมีความรู้เรื่องฮินดูอาจรู้สึกแปลกๆ ว่า ไฉนพระนารายณ์จึงกลายเป็นเทพารักษ์อย่างจีนไป และโดยธรรมเนียมฮินดูนั้น พระนารายณ์เป็นมังสวิรัติที่เคร่งครัดกว่าเทพอื่นๆ ไม่โปรดของถวายสดคาว แต่ผมเห็นว่านี่เป็นการเลื่อนไหลความหมายของรูปเคารพ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาในสังคมโบราณที่วัตถุศักดิ์สิทธิ์จะใช้แทนกันหรือเปลี่ยนความหมายไปตามความเข้าใจของผู้กราบไหว้ โดยเฉพาะสังคมที่มีความเชื่อผีเป็นแกน เพราะผีนี่ต้อง “สิง” นะครับ ต้องมีวัตถุหรือสิ่งใดให้ผีสิงอยู่ ไม่ใช่ “ซ่าน” ไปทั่ว (จึงมีบางท่านเห็นว่าศาสนาผีของเราจึงไม่เข้าข่าย animism ของฝรั่งซึ่ง anima หรือพลังชีวิตซ่านไปทั่วนั่นเอง)

เทวรูปพระนารายณ์จึงจะเป็นเจ้าพ่อหลักเมืองก็ได้ เทวรูปพระนารายณ์ที่ลพบุรีก็กลายเป็นพระกาฬ พระพุทธรูปชักลากในภาคใต้จึงเป็นผู้หญิงได้ หรือพระพุทธรูปใช้แทนพระเชษฐบิดรหรือบุคคลที่ตายไปแล้วได้ นี่เป็นเรื่องที่เราเห็นกันทั่วไป

ความหมายที่เปลี่ยนไปนั้นเกิดจากความศรัทธาและข้อจำกัดของความรู้ในอดีต เราจึงไม่ควรจะไปด่าทอคนเมื่อร้อยหรือหลายร้อยปีก่อน ผมเห็นว่าไม่ใช่เรื่องที่จะต้องไปเปลี่ยนแปลงอะไรขนาดนั้น ชาวบ้านจะไหว้แบบไหนก็ทำไปตามปู่ย่าตายายทำมา

แต่ก็น่าจะให้ความรู้ผู้คนไว้สักหน่อยด้วยว่า รูปเคารพเหล่านี้หากว่ากันตามหลักวิชาเขาถือว่าเป็นอะไรก็พอแล้ว ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นใหม่ด้วยความสับสนหรือจงใจ เพราะเราอยู่ในยุคที่เปี่ยมไปด้วยข้อมูลความรู้จำนวนมาก ไม่ใช่เรื่องลำบาก

ดังนั้น หากเกิดความผิดพลาดขึ้นก็ควรจะแก้ไขให้ถูกต้อง

 

ผมได้ยกเรื่องเจ้าพ่อหลักเมื่องสุพรรณบุรีขึ้นมา เพื่อจะกล่าวไปถึงอีกกรณีที่แตกต่างกัน

คือผมเข้าใจว่าอีกกรณีไม่ใช่การเลื่อนไหลของความหมายทางประติมาน แต่เป็นเพียงการเขียนป้ายผิด

เพราะเหตุว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวมีขนบและตำนานรองรับอยู่แล้วอย่างชัดเจนและเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป อีกทั้งยังไม่มีความเชื่อแบบอื่นเข้ามาผสมที่จะทำให้ความหมายแปรเปลี่ยน

เป็นกรณีที่เกิดขึ้นในศาลเจ้าโจวซือกง ตลาดน้อย ศาลเจ้าฮกเกี้ยนที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ

และเทพองค์นั้นคือ “โกยเส่งอ๋อง” หนึ่งในจตุมหาเทพท้องถิ่นของชาวฮกเกี้ยนนั่นเอง

ก่อนจะพูดถึงกรณีดังกล่าว ผมขออนุญาตเล่าถึงที่มาและความสำคัญของเทพเจ้าองค์นี้สักหน่อย จะได่ทราบว่าทำไม ท่านถึงสำคัญนัก

 

โกยเส่งอ๋อง เป็นพระนามในสำเนียงฮกเกี้ยน หมายถึงพระสามนตราชแซ่โกย หรือท่านอ๋องอันเป็นที่สักการะแซ๋โกย มีอีกพระนามว่า “กงเต็กไต่จุนอ๋อง” – “พระปุญญกุศลมหาสามนตราช” (การแปลคำจีนว่าอ๋องเท่ากับท้าวสามนตราชหรือราชาประเทศราชนั้น ผมได้มาจากท่านอาจารย์ถาวร สิกขโกศล) ตำแหน่งอ๋องเป็นตำแหน่งในฐานะเทพเจ้าซึ่งได้รับการสถาปนาในภายหลัง มิใช่ตำแหน่งอ๋องในชีวิตจริงของท่าน

เทพเจ้าโกยเส่งอ๋อง นามเดิมชื่อโกยอั่งฮก มีชีวิตอยู่ในสมัยห้าราชวงศ์สิบอาณาจักร (บ้างก็ว่าในสมัยราชวงศ์ถัง) ราวคริสต์ศตวรรษที่ 10 ท่านเกิดที่อำเภอหลำอั๊ว เมืองจ่วนจิ๊ว (เฉวียนโจว) มณฑลฮกเกี้ยน ฐานะทางบ้านยากจนมาก บิดาตายตั้งแต่ท่านยังเยาวัย จึงช่วยมารดาดูแลปศุสัตว์ มีความกตัญญูและขยันขันแข็ง แต่เพราะความยากจน แม้บิดาสิ้นใจไปแล้วก็ไม่สามารถซื้อที่ดินดีๆ หรือจ้างซินแสมาดูทำเลทำฮวงซุ้ยฝังศพได้ จึงต้องเก็บศพบิดาไว้ก่อนโดยมิได้ฝัง

ต่อมาท่านและมารดาย้ายมาอยู่ที่อำเภออานโคย เมืองจ่วนจิ๊ว (เรื่องเมืองที่ท่านเกิดและโยกย้ายอาจแตกต่างกันไป แต่อยู่ในเมืองจ่วนจิ๊วแน่นอน) โดยไปอาศัยรับใช้ครอบครัวอื่น ท่านยังคงลำบากยากจนและคอยดูแลปศุสัตว์ตามเดิม

วันหนึ่งมารดาของท่านได้พบกับซินแสผู้รู้ชัยภูมิศาสตร์ (ฮวงจุ้ย) ซึ่งครอบครัวที่ท่านรับใช้ได้เชิญมา มารดาของท่านได้ดูแลซินแสเป็นอย่างดีจนเกิดความซาบซึ้งใจ จึงได้บอกใบ้ถึงชัยภูมิมงคลที่จะทำการฝังศพบิดาให้ ว่าชัยภูมิมงคลนี้จะสามารถบันดาลยศศักดิ์และชื่อเสียงเกียรติคุณเลื่องลือไปจนสิบชั่วอายุคน ซึ่งอยู่ใกล้ๆ บริเวณเลี้ยงแพะนี่เอง

คำใบ้ของซินแสมีอยู่ว่า หากในบริเวณที่เลี้ยงแพะเจอสิ่งแปลกประหลาด หนึ่งคือพระสวมงอบทองแดงและสองวัวขี่คน (บางตำนานว่า มีปลาอยู่บนต้นไม้ด้วย) ให้รีบฝังบิดาของท่านในจุดนั้นทันที

ท่านและมารดาจึงนำกระดูกของบิดามาล้างใส่ไหเตรียมไว้และได้ออกไปรอยังบริเวณที่เลี้ยงแพะ ปรากฏว่าวันนั้นฝนตกหนัก พระภิกษุซึ่งเดินผ่านมาจึงเอาฉาบทองแดงที่เพิ่งใช้งานมาคลุมศีรษะไว้ ส่วนเด็กเลี้ยงวัวที่ผ่านมาด้วยก็หลบฝนอยู่ใต้ท้องวัวเช่นกัน (คนจับปลาก็หลบฝนใต้ต้นไม้และนำปลาที่จับได้มาแขวน)

ท่านจึงทราบว่านั่นเป็นชัยภูมิมงคลและฤกษ์ดีจึงได้ฝังกระดูกของบิดาทันที

 

เมื่อโกยอั่งฮกอายุได้สิบหกปีก็มีนิมิตว่าตนเองจะบรรลุเป็นเซียน บางตำนานก็ว่าท่านได้ศึกษาพระสูตรจนเจนจบ ได้ไปเข้าสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้แล้วบรรลุเซียน ดวงตาเบิกโพลงตัวค่อยๆ ลอยขึ้นสู่ฟ้า มารดาของท่านเห็นเข้าจึงพยายามคว้าตัวไว้ แต่คว้าได้เพียงขาซ้ายของท่านเท่านั้น และทราบว่าท่านได้สิ้นใจแล้ว

ดังนั้น รูปเคารพของโกยเส่งอ๋องจึงมีเอกลักษณ์เป็นชายหนุ่ม หน้าตาเกลี้ยงเกลา มีใบหน้าสีแดง (หมายถึงพิทักษ์ชาติ) หรือหน้าสีเนื้อ ดวงตาเบิกโพลง อยู่ในท่านั่งขาขวายกขึ้น ส่วนขาซ้ายจะวางลงตามปกติ

ศาลเจ้าของท่านอยู่บนเขาหงส์ จึงเรียกว่า “อารามหงสบรรพต” (หงซานสี่หรือหองซานสี่) และมีคำกล่าวว่า “ที่ใดมีคนบั่นหลำ (ฮกเกี้ยน) ที่นั่นย่อมมีโกยเส่งอ๋องด้วยเสมอ” ทุกพื้นที่ที่มีชาวฮกเกี้ยนอพยพ หากมีศาลเจ้าของโกยเซ่งอ๋องก็มักใช้นามว่าหงซานสี่อย่างเดียวกับศาลดั้งเดิม คนแซ่โกย แซ่โก้ย แซ่ก๊วย (หรือแปลงไทยแล้วอย่าง โกยวานิช โกยกุล ฯลฯ) ก็มักถือว่าพระโกยเส่งอ๋องเป็นพระประจำตระกูลของตนเพราะใช้แซ่เดียวกัน

กระนั้น คนฮกเกี้ยนทั่วๆ ไปก็นับถือพระโกยเส่งอ๋องมาก เชื่อว่าท่านเป็นเทพเจ้าที่ทรงอิทธิฤทธิ์ หรือ “เฮี้ยน” มากนั่นเอง ทรงช่วยขจัดทุกข์ภัย ปกป้องประเทศชาติ (ห่อก๊ก) บรรดาภูตผีปีศาจล้วนหวาดกลัว คุ้มครองชาวบ้านให้สงบสุข

ในศาลเจ้าของชาวฮกเกี้ยนโพ้นทะเลเกือบทุกศาลจึงมีโกยเส้งอ๋องประดิษฐานอยู่แม้จะมิใช่องค์ประธาน

อย่างศาลเจ้าของพระโป้เส้งไต่เต่ที่ระนองบ้านผม หรือศาลเจ้าของพระจ้อซู้ก๊อง (โจวซือกง) หรือเฉ็งจุ้ยโจวซือหลายๆ ศาล ซึ่งเป็นพระประจำถิ่นที่อยู่ใกล้เคียงกัน ก็มักปรากฏพระโกยเส่งอ๋องด้วย

มีเทพเจ้าบางองค์ที่อาจชวนให้สับสนได้คือ “หุ่ยเต็กจุนอ๋อง” ซึ่งมีรูปลักษณ์คล้ายคลึงกัน ทว่า ความแตกต่างด้านประติมานวิทยาคือมีเพียงพระโกยเส่งอ๋องเท่านั้นที่จะยกขวาขาขึ้น

กรณีศาลเจ้าโจวซือกง ตลาดน้อย ด้านขวาขององค์พระประธานคือหลวงปู่เช็งจุ้ยจ้อซู้ (วิสุทธิวารีปรมาจารย์) ถัดจากแท่นบูชาเหล่าแม่ทัพเทพจะมีแท่นบูชาอีกแท่นหนึ่ง บนแท่นนั้น (ล้อมกรอบกระจก) มีเทพเจ้าอยู่หลายองค์

แต่องค์ที่ประทับอยู่ตรงกลาง มีขนาดใหญ่สุดและแตกต่างกว่าองค์อื่นอย่างชัดเจน เป็นรูปเคารพเทพบุรุษ มีใบหน้าเกลี้ยงเกลาไร้หนวดเครา แต่งเครื่องยศอย่างพระสามนตราช ประทับนั่งยกพระบาทหรือเท้าขวาขึ้น

 

ผมค่อนข้างมั่นใจว่านี่คือพระโกยเส่งอ๋องอย่างแน่นอน ทว่า ป้ายภาษาจีนบนตู้กระจกนั้นเขียนด้วยตัวหนังสือใหญ่โตว่า “ตันเส่งอ๋อง” กับป้ายโลหะด้านหน้าซึ่งเขียนอักษรจีนเหมือนกันแต่เขียนภาษาไทยกำกับด้วยสำเนียงแต้จิ๋วว่า “ตั้งเสี่ยอ้วง” ซึ่งเป็นเทพเจ้าอีกพระองค์หนึ่ง

ตันเส่งอ๋องเป็นเทพเจ้าผู้บุกเบิกเมืองเจียงจิ๊วในมณฑลฮกเกี้ยนสมัยราชวงศ์ถัง ดังนั้น ท่านจึงได้อีกชื่อว่า “ค้ายเจียงเส่งอ๋อง” – “สามนตราชผู้บุกเบิกเมืองเจียงจิ๊ว” ท่านเป็นแม่ทัพสำคัญและเสียชีวิตเมื่ออายุมากแล้ว รูปเคารพจำสร้างเป็นชายวัยกลางคน มีหนวดเครายาว บางทีก็มีใบหน้าสีดำ มักถือกระบี่และเหยียบเต่าซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนแผ่นดินหรือเมืองเจียงจิ๊ว

บางท่านให้ข้อสังเกตว่าอาจมีรูปเคารพตันเส่งอ๋องตั้งอยู่รวมในนั้นก็เป็นได้จึงได้เขียนป้ายกันเช่นนั้น แต่ผมคิดว่าเรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผล ก็เพราะเห็นอยู่ว่าเทพเจ้าที่มีขนาดใหญ่สุดและอยู่ในตำแหน่งสำคัญสุดของแท่นบูชาคือพระโกยเส่งอ๋อง ซึ่งมีรูปลักษณ์แตกต่างจากตันเส่งอ๋องอย่างชัดเจน

ป้ายชื่อจึงควรเป็นเทพประธานของแท่นบูชานั้นๆ จึงจะถูกต้องสมควร มิฉะนั้นก็ควรเขียนชื่อของเทพทุกองค์ในนั้นหรือจะเขียนรวมๆ ว่า “แท่นบูชารวมเทพเจ้า” (จ้องไต่สีนเบ๋ง หรือจ้องสีน) ซึ่งหลายๆ ศาลเจ้าในภาคใต้ก็ปฏิบัติเช่นนี้อยู่

ส่วนการเขียนชื่อด้วยสำเนียงแต่จิ๋วนั้นผมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรนัก เพราะเข้าใจว่าผู้ทำบุญและในชุมชนนั้นเหลือชาวฮกเกี้ยนน้อยมากแล้ว แต่คงจะดีหากมีสำเนียงฮกเกี้ยนกำกับไว้ด้วย

จึงอยากจะร้องขอไปยังศาลเจ้าโจวซือกงด้วยความรักและเคารพครับ เพราะตั้งแต่ย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ ก็ได้ศาลเจ้าโจวซือกงนี่แหละที่ทำให้รู้สึกใกล้ชิดบ้านเกิดเพราะเป็นศาลเจ้าฮกเกี้ยน กินเจผมก็ไปแทบทุกปี

อีกทั้งศาลเจ้ายังเป็นที่ตั้งของสมาคมฮกเกี้ยนแห่งประเทศไทยด้วย จึงอยากขอให้เปลี่ยนป้ายชื่อบนแท่นบูชานั้นเป็นพระโกยเส่งอ๋องให้ถูกต้องเถิด คนมาศึกษามากราบไหว้ก็จะได้ความรู้ที่ถูกต้องกลับไป

ทั้งยังเป็นสิริมงคลอีกด้วย •