ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 19 - 25 มกราคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
เมื่อ 1 ปีที่แล้ว ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา ได้ส่งต่อการควบคุมดูแลกิจการบริษัททรัมป์ ออร์แกไนเซชั่น ให้กับบรรดาลูกๆ ของเขา
แต่เขาได้ปฏิเสธที่จะละทิ้งการครอบครองสินทรัพย์ของตนเอง ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาที่โกรธเกรี้ยวจากฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองและบรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านจริยธรรม
ถึงวันนี้ สนามกอล์ฟของทรัมป์ที่ฟลอริดาและนิวเจอร์ซีย์ ถือเป็นฉากสำคัญในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขา
โดยทรัมป์ใช้เวลาในปี 2017 อยู่ที่กอล์ฟคลับทั้ง 2 แห่งนี้มากกว่า 80 วัน
ฝ่ายตรงข้ามของเขาวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องนี้อย่างเข้มข้น และมีการเล็งว่าจะฟ้องร้องดำเนินคดีในเรื่องความสัมพันธ์ที่ไม่โปร่งใสระหว่างทำเนียบขาวกับธุรกิจเหล่านี้
ตัวอย่างที่ชัดเจนของข้อพิพาทในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างธุรกิจและการเมืองคือ โรงแรมทรัมป์ อินเตอร์เนชั่นแนล ในกรุงวอชิงตัน ที่อยู่ห่างจากทำเนียบขาวในระยะทางขับรถแค่เพียง 6 นาที
ก่อนหน้านี้มีการตั้งข้อกังขาว่า การแปรสภาพสำนักงานไปรษณีย์แห่งเก่าของกรุงวอชิงตันมาเป็นโรงแรมหรูของทรัมป์จะประสบความสำเร็จหรือไม่ แต่ในทุกวันนี้ ห้องพัก ห้องอาหาร และห้องประชุมของโรงแรม เต็มไปด้วยผู้ใช้บริการที่เป็นนักการทูต และ “ล็อบบี้ยิสต์” ชาวต่างชาติ
“โรงแรมแห่งนี้เปรียบเสมือนทำเนียบขาวอีกแห่งที่คุณสามารถซื้อมาร์การิตาในราคา 27 ดอลลาร์ และสามารถสนทนาหารือกับผู้ที่มีกำหนดการจะเข้าพบกับประธานาธิบดีในวันถัดไป” ออสติน เอ็นเวอร์ส ผู้อำนวยการบริหารของอเมริกัน โอเวอร์ไซต์ องค์กรอิสระไม่แสวงผลกำไรที่ได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนจากพรรคเดโมแครตเพื่อตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลทรัมป์
“เป็นหนทางเข้าถึงผู้ที่ทำงานในฝ่ายบริหารที่ชาวอเมริกันทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้” เอ็นเวอร์สระบุ และว่า ผู้เข้าใช้บริการของโรงแรมนี้ที่น่ากังขามีทั้งผู้แทนของรัฐบาลซาอุดีอาระเบียและมาเลเซีย รวมถึงกลุ่มที่เป็นตัวแทนของผู้ผลิตบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งไม่นานนักหลังจากนั้น ฝ่ายบริการได้ระงับกฎข้อบังคับที่ระบุว่าต้องมีการควบคุมดูแลอย่างเข้มงวดมากขึ้นในภาคอุตสาหกรรมดังกล่าวไป
นอกจากนี้ การเดินทางไปปรากฏตัวแบบเซอร์ไพรส์ตามสถานที่ต่างๆ ที่ถือเป็นธุรกิจของตนเองของทรัมป์ขณะที่ยังคงดำรงตำแหน่งถือเป็นการประชาสัมพันธ์เรียกแขกที่ดี
ผู้เข้าพักจากออสเตรเลียที่ลงชื่อเพียงว่าเดวิด เขียนรีวิวไว้บนเว็บไซต์บุ๊กกิ้งดอตคอม ระบุถึงประสบการณ์ในการเข้าพักที่โรงแรมของทรัมป์ว่า “บริการที่เหนือกว่าธรรมดา”
“สิ่งที่เปรียบเสมือนเป็นโบนัสพิเศษคือ เมื่อประธานาธิบดีและสุภาพสตรีหมายเลข 1 ปรากฏตัวต่อหน้าผมและภรรยาห่างออกไปเพียงแค่ราว 2 ฟุตเท่านั้น”
แต่ตำแหน่งประธานาธิบดีอาจไม่ใช่โบนัสทางธุรกิจเสมอไป
ในการให้สัมภาษณ์กับนิวยอร์กไทม์สเมื่อเร็วๆ นี้ เอริก ทรัมป์ ลูกชายของทรัมป์ระบุว่า ทรัมป์ ออร์แกไนเซชั่น ตัดสินใจที่จะพุ่งเป้าให้ความสำคัญกับสินทรัพย์ที่มีอยู่เดิม ซึ่งรวมถึงสนามกอล์ฟ 16 แห่ง โรงงานผลิตไวน์ 1 แห่ง โรงแรม 7 แห่ง และกิจการด้านอสังหาริมทรัพย์
ในการเปิดเผยทรัพย์สินก่อนทรัมป์จะสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ทางบริษัทประกาศว่า จะไม่เสาะหาข้อตกลงทางธุรกิจกับต่างชาติขณะที่ทรัมป์ยังคงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
แต่ไม่ว่าธุรกิจของทรัมป์จะเติบโตหรือไม่ ฝ่ายตรงข้ามของทรัมป์ระบุว่า นั่นก็ยังเป็นปัญหาอยู่ดี
ข้อเท็จจริงที่เห็นได้ชัดเจนคือ ทรัมป์อาจได้รับผลประโยชน์จากการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี และรัฐบาลต่างชาติอาจให้การอุปถัมภ์ทรัมป์ ออร์แกไนเซชั่น เพื่อหวังผลตอบแทนนั้น เพียงพอที่จะเป็นหลักฐานบ่งชี้ได้ถึงผลประโยชน์ทับซ้อนจำนวนนับไม่ถ้วน
ทรัมป์ ออร์แกไนเซชั่นเป็นธุรกิจครอบครัว ที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และไม่มีการเปิดเผยรายรับ นอกจากนี้ ทรัมป์ยังปฏิเสธที่จะเปิดเผยข้อมูลการเสียภาษีมาโดยตลอด ที่หมายความว่า มีหลายเรื่องในด้านการเงินของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ไม่อาจรู้
และนั่นแสดงถึงความไม่โปร่งใสที่อาจเป็นอีกปัจจัยหนึ่งซึ่งบ่อนทำลายความมั่นคงในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์