ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 7 - 13 มิถุนายน 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | ยานยนต์ |
ผู้เขียน | สันติ จิรพรพนิต |
เผยแพร่ |
กลายเป็นประเด็นร้อนทิ้งท้ายเดือนพฤษภาคม กับข่าวการตั้งกำแพงภาษีอย่างโหดของสหรัฐอเมริกา กับรถยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี จากประเทศจีน
ตามมาด้วยสหภาพยุโรป หรืออียู มีท่าทีจะเพิ่มกำแพงภาษีจากเดิมคาดว่าตั้งไว้ 30% เป็น 50-55%
แม้จีนยังไม่ได้มีแผนตอบโต้อย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าศึกครั้งนี้น่าจะลากยาวพอสมควร
สำหรับในไทยเอง หล่ายฝ่ายก็กังวลว่ารถยนต์อีวีจากจีน จะยิ่งทะลักเข้ามามากขึ้น
จากเดิมก็ถือว่าเข้ามานับสิบๆ ยี่ห้อแล้ว
แถมยังตั้งราคาได้น่าสนใจ จนทำให้ค่ายรถญี่ปุนในไทยต้องกัดฟันหั่นราคาตาม
รวมถึงจัดโปรโมชั่นเดือดๆ เพื่อครองส่วนแบ่งการตลาดเอาไว้
รายงานจากสหรัฐและยุโรป มองตรงกันว่าจีนอาจเบนเข็มหาตลาดอื่นทดแทน ซึ่งจะทำให้อีวีจีนจะทะลักเข้ามาอาเซียนมากกว่าเดิม
เพราะถ้าเทียบผลกระทบทางอ้อมของการขึ้นภาษีอีวีจีนของสหรัฐกับยุโรปที่มีต่ออาเซียน
ผลกระทบจากกรณีของยุโรปจะมากกว่า
เนื่องจากสหภาพยุโรปเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน
ในปี 2023 รถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในจีน ทั้งแบรนด์จีนและแบรนด์ต่างชาติ ส่งเข้าไปในยุโรปเป็นมูลค่า 11,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ครองส่วนแบ่งตลาด 37% ของรถยนต์ไฟฟ้านำเข้าทั้งหมดในยุโรป
และครองส่วนแบ่ง 19% ของตลาดรถยนต์รวมในยุโรป
นักวิเคราะห์เชื่อว่า เมื่ออีวีจีนเข้าไปทำตลาดในอียูไม่ได้ ต้องระบายสต๊อกเข้ามาในอาเซียนและประเทศไทย
ทำให้มีโอกาสที่อีวีจีนจะเข้ามาถล่มราคาในไทยอีกระลอก
อาจเห็นการปรับลดราคาลงอีกคันละ 1-2 แสนบาท เหมือนที่เคยมีการดัมพ์ราคากันมาแล้วในช่วงต้นปีที่ผ่านมา
ยังดึงญี่ปุ่นที่ขายรถกลุ่มไฮบริด, ปลั๊ก-อินไฮบริด และสันดาปภายใต หรือไอซีอี เข้าร่วมทำสงครามราคาด้วย
ถ้าเป็นแบบนี้จะกระทบตลาดรถยนต์ทั้งระบบ
แต่ในทางกลับกันผู้บริโภคก็ยิ้มแป้น โดยเฉพาะคนที่กำลังเล็งรถใหม่
อย่างไรก็ตาม ยังมีแง่ลบอยู่บ้าง เพราะหากเป็นคนที่มีรถอยู่แล้ว และต้องการปลี่ยนใหม่
การเทิร์นหรือขายรถเก่าราคาจะตกหนักพอสมควร ด้วยความที่รถใหม่ และรถไฟฟ้ามีราคาถูกลง ทำให้ไปกดราคารถมือสอง
เห็นได้จากบรรดาเต็นท์รถมือสอง หรือกระทั่งบริษัทข้ามชาติรายใหญ่อย่าง “CARS 24” ก็แทบไปไม่รอด
ขณะที่ตลาดรถกำลังเดือดเลือดพล่าน ประจวบเหมาะกับสภาพเศรษฐกิจไทย และทั่วโลกอยู่ในภาวะทรงๆ ทรุดๆ
พลอยทำให้ยอดขายรถยนต์ในช่วง 4 เดือนแรกออกมาไม่สวยหรู
ตัวเลขการผลิตภาพรวมเดือนเมษายน อยู่ที่ 104,667 คัน ลดลง 11.02% เป็นยอดขายในประเทศ 46,738 คัน ลดลง 21.49%
หากแยกเฉพาะรถยนต์นั่ง กลุ่มที่ซัดกับรถยนต์ไฟฟ้าโดยตรง เดือนมกราคม-เมษายน 2567 ผลิต 193,239 คัน ลดลง 12.11% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อเจาะลงไปในรายละเอียด พบจุดที่น่าสนใจคือพบการหดตัวของกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า เป็นครั้งแรกๆ นับตั้งแต่เข้ามาทำตลาดในเมืองไทย
สวนทางกับกลุ่มรถพลังงานทางเลือก ทั้งไฮบริด และปลั๊ก-อิน ไฮบริด
เพราะกลุ่มนี้กลับเติบโตขึ้นอย่างมาก
โดยเฉพาะเดือนเมษายน สถิติยอดจดทะเบียนรถยนต์นั่ง กลุ่มรถไฮบริดและปลั๊ก-อิน ไฮบริด แซง EV เป็นเท่าตัว
ตัวเลขจากกรมการขนส่งทางบก มีรถยนต์นั่งจดทะเบียนจำนวน 39,697 คัน ลดลงจากเดือนมีนาคมปีเดียวกันเกือบ 20%
แบ่งเป็นรถอีวี 4,009 คัน, รถไฮบริด 10,353 คัน ปลั๊ก-อิน ไฮบริด 639 คัน และรถใช้เชื้อเพลิงอื่นๆ 24,696 คัน
กลุ่มรถไฮบริดและปลั๊ก-อิน ไฮบริด ได้รับความนิยมมากกว่ารถอีวี กว่าเท่าตัว
เป็นไปตามเทรนด์ของตลาดโลก ที่ความนิยมของรถอีวีเริ่มลดลง
มีหลายปัจจัยที่ทำให้โลกและคนไทยเริ่มสนใจรถไฮบริด มากกว่ารถอีวี
หนึ่ง มาจากความไม่สะดวกในการเติมพลังงาน
เพราะแม้สถานีชาร์จจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังน้อยกว่าปั๊มน้ำมัน
ทำให้เวลาเดินทางต่างจังหวัด รถอีวีต้องวางแผนมากกว่ารถไฮบริด
ในเมืองไทยยิ่งหนักกับการที่ผู้ใช้รถจำนวนหนึ่ง ยังไม่มีมารยาททั้งการจอดชาร์จ หรือจอดแช่ จนทำให้เกิดปัญหาเนืองๆ
รถไฮบริด โดยเฉพาะปลั๊ก-อิน ไฮบริด ที่พัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ สามารถวิ่งไฟฟ้าล้วนได้ไกลขึ้น บางรุ่นทำได้สูงสุด 80-100 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง
ซึ่งเพียงพอต่อการใช้งานประจำวัน ทำให้รถปลั๊ก-อิน ไฮบริด ประหยัดไม่ต่างจากรถอีวี
ส่วนรถไฮบริดที่แม้จะใช้ค่าพลังงานสูงกว่า แต่ก็ไม่ได้มากเท่ารถสันดาปภายใน
เมื่อเทียบความสะดวกสบายในการเติมพลังงาน รถไฮบริดยังได้เปรียบกว่า
นอกจากนี้ บรรดาค่ายรถญี่ปุ่นเจ้าตลาดรถนั่ง ทั้งโตโยต้า และฮอนด้า ก็ออกรถพลังงานทางเลือกมาจำนวนมาก
แถมราคาถือว่าจับต้องได้ง่ายขึ้น
หลายๆ ประเด็นเหล่านี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ยังมีอีกหลายสาเหตุ อาทิ ราคาขายต่อรถอีวี จะตกหนักกว่ารถพลังงานอื่นๆ
ต้องตามดูกันยาวๆ ว่าค่ายรถจากจีนที่ถือว่าเป็นผู้ผลิตรถอีวีรายใหญ่ของโลก
จะแก้สถานการณ์ความนิยมที่ลดลง และปัญหากำแพงภาษีจากสหรัฐและยุโรปอย่างไร •
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022