ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 31 พฤษภาคม - 6 มิถุนายน 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | หลักศิลากลางน้ำเชี่ยว |
ผู้เขียน | มุกดา สุวรรณชาติ |
เผยแพร่ |
เลือกลงสมัคร ส.ว.อย่างไร
จึงมีผลต่อความสำเร็จ
ศึกชิง ส.ว.คราวนี้ มีหลายกลุ่มปะทะกันทางการเมือง และอิสระชนจำนวนหนึ่งก็เข้าร่วม จึงคล้ายการตะลุมบอน แต่ความได้เปรียบเสียเปรียบเริ่มที่การสมัคร
คนที่เลือกลงสมัครจังหวัดที่มีจำนวนอำเภอน้อยได้เปรียบ เพราะมีตัวแทนอำเภอละ 3 คน เช่น ภูเก็ตมี 3 อำเภอ คู่แข่งในกลุ่มอาชีพจะมีเพียง 9 คน คัดเอา 2 คนเป็นตัวแทนระดับจังหวัด แต่เชียงใหม่มี 25 อำเภอ คู่แข่งอาจมีถึง 75 คน คัดเอาเพียง 2 คนเช่นกัน
การเลือกกลุ่มอาชีพก็มีความสำคัญเช่นกัน ถ้าเลือกกลุ่มอาชีพที่คนสมัครน้อย คู่แข่งก็น้อย
กลุ่มอาชีพที่หาคนยาก คนสมัครน้อย เริ่มตั้งแต่กลุ่มที่ 8 สิ่งแวดล้อม อสังหาฯ และพลังงาน (คนสมัคร 1,180 คน) กลุ่มที่ 12 อุตสาหกรรม (609 คน) กลุ่มที่ 13 วิทยาศาสตร์ สื่อสารและนวัตกรรม (1,039 คน) กลุ่มที่ 18 สื่อสารมวลชนนักเขียนนักข่าว (867 คน)
กลุ่มเหล่านี้ผู้สมัครจะมีน้อยมาก โดยเฉพาะถ้าไม่ใช่อำเภอเมือง จะไม่มีกลุ่มนี้แม้แต่คนเดียว
กลุ่มที่มีศักยภาพเฉพาะของตนเอง คือกลุ่มที่ 1 ผู้บริหารและปกครอง (2,478 คน) กลุ่มที่ 2 กลุ่มกฎหมายซึ่งมีตำรวจรวมอยู่ด้วย (1,869 คน) กลุ่มที่ 4 กลุ่มสาธารณสุข (1,628 คน) กลุ่มที่ 9 sme (1,844 คน) กลุ่มที่ 10 คนค้าขายเล็กน้อยมาลงในกลุ่มนี้ (1,200 คน) กลุ่มที่ 11 ท่องเที่ยวและโรงแรม (1,177คน) กลุ่มที่ 16 ศิลปวัฒนธรรม ดนตรี กีฬา (1,819 คน) และกลุ่มที่ 17 ประชาสังคม (2,168 คน)
กลุ่มที่มีคนสมัครมากและจัดตั้งได้ง่าย
มีผู้สมัครรวม 30,239 คน
ถ้าวิเคราะห์ดูจากตัวเลข จะพบว่ากลุ่ม 15 ผู้สูงอายุมีคนสมัครมากเพราะอายุเกิน 60 ก็สมัครได้ (5,211 คน)
กลุ่มสตรี 14 มีคนสมัครมาก เป็นผู้หญิงพออายุเกิน 40 ปีก็สมัครได้ (4,589 คน)
กลุ่มที่ 3 กลุ่มการศึกษา ดูเหมือนว่าจะมีครูเกษียณทุกจังหวัดสนใจลงสมัครกันเป็นจำนวนมาก และมีลักษณะจัดตั้งของตนเอง อย่างเป็นระบบ (4,477 คน)
กลุ่ม 5 ชาวนาชาวไร่ (3,422 คน) กลุ่ม 6 ชาวสวน ชาวประมง (3,628 คน)
กลุ่ม 7 ผู้ใช้แรงงานเอกชนไม่ต้องลาออกจึงมีไม่น้อยเช่นกัน (2,440 คน)
กลุ่มที่ถูกคัดมารวมกันและกลายเป็นมีผู้สมัครมากก็คือกลุ่ม 19 อาชีพอิสระ (3,816 คน)
และกลุ่ม 20 อื่นๆ (2,656 คน) มีถกเถียงกันระหว่างคนรับสมัครและผู้สมัครว่าจะอยู่กลุ่ม 19 หรือกลุ่ม 20 ทั้ง 2 กลุ่มนี้จึงเป็นกลุ่มที่มีการจัดตั้ง หรือมาสมัครโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ทั้ง 8 กลุ่มมีผู้สมัครเกือบ 63%
เล่ห์กลในการจัดตั้งผู้สมัคร
แต่จัดตั้งทั้งประเทศไม่มีใครทำได้
การเลือกกันเองก็หมายความว่า คนที่สมัครต้องรู้ว่าคนที่จะเลือกเป็นใคร มีความคิด มีประสบการณ์ มีความสามารถอย่างไร
แต่แนวคิดนี้เมื่อมาอยู่ในมือของกลุ่มการเมืองที่ต้องการชิงชัยชนะก็ถูกดัดแปลง กลายเป็นจะเอาใครไปลงสมัครและจัดการให้เลือกคนเป้าหมายอย่างไร แต่การเลือก 6 ครั้งทำให้ไม่ง่าย
การจัดตั้ง 20 กลุ่มอาชีพ พวกเขาไม่สามารถจัดการหาคนไปสมัครได้ตามต้องการ มีเพียงบางกลุ่มอาชีพเท่านั้นที่พอจะจัดหาได้ 8 กลุ่มที่กล่าวมาจึงเป็นเป้าหมาย
การขอให้คนไปลงสมัคร คนนั้นจะต้องเสียเงิน 2,500 บาทเป็นค่าสมัครและค่าเสียเวลาไปเลือก 1-2 ครั้ง จึงไม่ค่อยมีใครอยากมาช่วย มีไม่กี่คนที่ไปช่วยโดยยอมควักกระเป๋าตนเอง
ส่วนใหญ่แล้วเป็นแบบที่มาช่วยโดยได้ค่าเสียเวลาและค่าสมัครมาเป็นก้อน ประมาณ 5,000 บาท เหมารวมทั้งค่าสมัคร ค่าถ่ายรูป ค่ารถ อื่นๆ ด้วย
คาดกันว่าเครือข่ายที่ทำการจัดตั้งมากที่สุด น่าจะได้ประมาณครึ่งหนึ่ง คือไม่ถึง 40 จังหวัด บางกลุ่มจัดได้น้อยกว่า 20 จังหวัด และโอกาสสำเร็จที่จะได้ตัวแทน 7-10 กลุ่มก็ไม่ได้มีทุกจังหวัดที่ไปทำ เพราะ…
ระดับอำเภอ อาจผ่าน
แต่ระดับจังหวัดไม่ง่าย
ขั้นที่ 1 การส่งผู้สมัครลงในระดับอำเภอตามกลุ่มอาชีพ เพราะหาคนไม่ได้ จึงส่งที่ประมาณ 5-10 กลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มอาชีพต้องมีผู้สมัคร 3-5 คน รอบแรก 5 คนให้ลงคะแนนช่วยกันเองเพื่อให้ผ่านเข้ารอบ 2 แล้วก็ตั้งความหวังว่าตอนจับสลากไขว้ กลุ่มที่ตัวเองจัดตั้งไว้จะได้มาเจอกัน
แต่ความเป็นไปได้ก็ไม่ถึง 50% เพราะถ้าจัดตั้งไม่ถึง 10 กลุ่ม ถ้าจับสลากแล้วเจอเพียง 1 กลุ่มถึง 2 กลุ่มก็ถือว่าสูงแล้ว และอาจจะไม่เจอคนที่จัดตั้งไว้เลย
ผู้ที่ลงทุนทำอย่างนี้จึงบอกว่าต้องอาศัยดวงช่วยด้วย
ขั้นที่ 2 ถ้าสามารถจัดการผ่านเข้าไปสู่ระดับจังหวัดได้ก็จะเอาคนในกลุ่มอาชีพเดียวกันจากหลายอำเภอที่จัดไว้มาช่วยกันลงคะแนนให้ผ่านรอบแรก 5 คน และก็นำมาเลือกไขว้ในระดับจังหวัดกับกลุ่มอาชีพอื่นที่ตัวเองจัดตั้งและรอดมาได้ ซึ่งถ้ามาได้แค่ไม่กี่คน โอกาสจะได้รับเลือกเข้าระดับประเทศก็น้อยเช่นกัน
ถ้าไม่มีกลุ่มจัดตั้งอื่นมาแข่งก็จะมีโอกาสมากกว่า แต่ถ้ามีกลุ่มจัดตั้งมาแข่ง การต่อสู้ก็จะดุเดือดขึ้นทำให้ต้องระดมคนมาก
เช่น การต่อสู้ในจังหวัดศรีสะเกษ จะเห็นว่ามีคนมาสมัครมากกว่ากรุงเทพฯ เสียอีก เป็นเพราะ 2 กลุ่มการเมืองจัดตั้งประลองกำลัง เมื่ออีกฝ่ายมา 3 คน อีกฝ่ายก็อาจจะอัดเข้ามา 5 คนเพื่อเอาชนะในการเลือกตั้งระดับอำเภอ
นี่อาจจะเป็นการแสดงศักยภาพเพื่อโชว์ประชาชนสำหรับการเลือกตั้ง อบจ.ในอนาคต
คนที่สมัครอิสระก็จะต้องเลือกว่าจะจับมือกับฝ่ายไหน ถ้าหากการต่อสู้สูสีกัน
การจัดตั้งที่กล่าวมานั้นแม้ กกต.จะรู้ระแคะระคาย แต่ถ้าพวกเขาสมัครถูกต้องตามกฎหมาย เช่น คนอายุเกิน 60 ปี ลงผู้สูงอายุ ชาวนาลงกลุ่ม 5 ผู้หญิงลงกลุ่มสตรี ก็ห้ามไม่ได้
การโกงแบบทำผิดกฎหมายต่อหน้า กกต.
มาทางลัด สมัครอำเภอ
ถ้าเผลอ เข้าถึงระดับประเทศ
ปรากฏการณ์วันสุดท้าย ในกลุ่มที่มีคนสมัครน้อย หรือบางทีไม่มีเลย มีการระดมคนไปลงสมัคร (โดยไม่สนใจว่าคุณสมบัติจะตรงกับกลุ่มอาชีพหรือไม่) ในหลายจังหวัด แม้จะมีข้อห้ามว่าไม่เปิดเผยจำนวนและรายชื่อของผู้สมัครกลุ่มต่างๆ แต่ก็มีข่าวสารรั่วไหลออกมา จึงมีการจัดตั้งคนไปลงสมัครแบบฉุกเฉิน ในระดับอำเภอ กลุ่มละ 3 คนบ้าง 2 คนบ้าง บางจังหวัดยัดลงไปถึง 5 อำเภอ
เมื่อเป็นแบบนี้พวกเขาก็จะได้รับเลือกตั้งแต่ระดับอำเภอเพราะไม่มีคู่แข่ง
และเมื่อเข้าสู่ระดับจังหวัดพวกเขาสามารถรวมกันได้ 8-9 คน จากหลายอำเภอกลายเป็นกลุ่มที่มีเสียงมากที่สุด พอเลือกกันเองรอบแรก ก็จะชนะเข้ารอบ 5 คนของกลุ่มนั้น
พอถึงรอบ 2 ไปเลือกไขว้ ไม่ว่ากลุ่มที่มาไขว้จะเลือกใคร 2 คนที่ชนะเป็นตัวแทนจังหวัด ก็เป็นพวกเขา สามารถทะลุผ่านเข้าไปสู่ระดับประเทศได้
แม้จะไม่ได้รับเลือกเป็น ส.ว.ในระดับประเทศ แต่ก็สามารถไปออกเสียงลงคะแนนเลือกพรรคพวกของตนเองในรอบแรก 10 เสียง และในรอบไขว้อีก 20 เสียง
แต่การโกงแบบผิดกฎหมายดื้อๆ แบบนี้ถ้า กกต.เช็กคุณสมบัติทางอาชีพก็จะรู้ว่าคนเหล่านี้ไม่ได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ อสังหาริมทรัพย์ นักข่าว หรือกลุ่มสาธารณประโยชน์ ทั้งไม่ได้เป็นนักดนตรี หรือนักกีฬา ผู้สมัครและผู้รับรองมีความผิดตามกฎหมาย
ถ้า กกต.อำเภอและจังหวัดไม่สนใจ ปล่อยเข้าไปก็จะทำให้การเลือกตั้งเกิดความวุ่นวาย ความผิดนี้จะลามไปถึง กกต.ด้วย เพราะชาวบ้านในอำเภอนั้นยังรู้ว่าบางคนทำอาชีพอะไร
ยิ่งกลุ่มอิทธิพลบางคนบางกลุ่มสามารถยัดคนไปสมัครทีเดียว 5-6 อำเภอก็แสดงว่าพวกเขาใหญ่ระดับจังหวัด และน่าจะใหญ่กว่า กกต.จังหวัด
ผู้สมัครทุกคนควรร้องเรียนเมื่อพบเห็นการทำผิดแบบนี้ ต่อ กกต.ทั้งระดับอำเภอและจังหวัด และ กกต.ก็ยังตัดสิทธิ์ได้ทันก่อนการเลือก
กกต.ทุกระดับอย่าปล่อยปละละเลยเป็นอันขาด มิฉะนั้นภัยจะมาถึงตัว