เกม ออฟ PRA

ทบทวนอีกครั้ง

สำหรับคำพูด พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ในวันเปิดบ้านให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมคณะรัฐมนตรี ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ขอรับพรและอวยพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2561 เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2560

“ตู่ใช้กองหนุนไปเกือบหมดแล้ว แทบจะไม่มีกองหนุนเหลืออยู่แล้ว แต่ว่าถ้าเราสามารถแสดงให้เห็นถึงความปรารถนาดีที่มีต่อประชาชนชาวไทย กองหนุนก็จะมาเอง เพราะฉะนั้น ขอให้ดำรงความมุ่งหมายเพื่อเติมกองหนุนมากขึ้นให้ได้ ผมเชื่อว่าตู่ทำได้ พวกเราทุกคนก็ทำได้ และกำลังทำกันอยู่”

แน่นอน เรื่องสำคัญหนึ่งที่จะเรียกเสียงกองหนุนกลับคืนมาได้

ก็คือ การรีบเคลียร์กรณีนาฬิกาหรู เช่น Patek Philippe ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ โดยเร็ว

มิใช่ให้บานปลาย ตกเป็นเกมออฟ Pa(tek) หรือเลยเถิด ไปสู่เกมออฟ PRA

PRA ที่ว่ากันว่า รังเกียจเรื่องทุจริตนักหนา

น่าสังเกตว่า การที่ พล.อ.เปรม ขับเน้นเรื่อง “กองหนุน” นั้น

ย่อมมิได้หมายถึง นักการเมืองพรรคเพื่อไทย คนเสื้อแดง เพราะคนเหล่านี้ไม่เคยหนุน

คนที่เป็นกองหนุนจึงย่อมหมายถึงคนที่เคยอยู่ข้างเดียวกัน

แต่วันนี้ กำลังกลายเป็นอื่น

ยกตัวอย่างก็เช่น เฟซบุ๊ก Arthit Ourairat ที่สนับสนุน คสช. มาโดยตลอด

ได้เผยแพร่ ส.ค.ส. จาก ศ.กิตติคุณ ดร.เขียน ธีระวิทย์ อดีตอาจารย์ด้านรัฐศาสตร์ ส่งถึง พล.อ.ประยุทธ์

มีข้อความจากปัญญาชน คนเคยหนุน น่าสนใจยิ่งว่า

“ผมเป็นคนเคยสนับสนุนท่านเมื่อท่านทำรัฐประหาร และได้ติดตามการทำงานและฟังคำปราศรัยของท่านทุกวันศุกร์ทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ จากพฤติกรรมและคำพูดรวมๆ ของท่าน ผมเชื่อว่าท่านมีจิตใจบริสุทธิ์ในการทำรัฐประหาร เพื่อกอบกู้ชาติให้พ้นจากภัยพิบัติในขณะนั้น

แต่ความศรัทธาของผมที่มีต่อท่านลดลงอย่างมากในระยะหลังนี้

กระนั้นก็ตาม ผมยังเชื่อว่าธาตุแท้ของท่านเป็นคนดี ท่านยังสามารถกอบกู้ความศรัทธาของผมที่เคยมีต่อท่านให้กลับคืนมาได้

ถ้าท่านจะเจียดเวลาสัก 4 นาทีไปนั่งสงบสติอารมณ์ สำรวจความหลังในรอบ 4 ปีที่ผ่านมาว่า ท่านทำรัฐประหารเพื่อต้องการอำนาจหรือเพื่อแก้ไขปัญหาของชาติ

ท่านต้องการให้รัฐบาล-คสช. ทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชนหรือพรรคพวก?

ท่านคิดว่าความมั่นคงของชาตินั้นจะสำเร็จลุล่วงได้ด้วยน้ำมือของผู้นำทหารฝ่ายเดียว หรือต้องมีพลเรือนที่มีฝีมือรวมอยู่ด้วย?

การปฏิรูปประเทศของท่านล้มเหลวมาตลอด เพราะใช้คนไม่ถูกกับงาน หรือเพราะท่านต้องการอยู่ในอำนาจยาวนานเพื่อปฏิรูปให้เสร็จก่อน?

นโยบายปราบคอร์รัปชั่นของท่านจะไปรอดไหม

ถ้าท่านปล่อยให้คนสำคัญในรัฐบาลของท่านเป็นหนอนบ่อนไส้?

และถ้าท่านยังเป็นผู้นำรัฐบาลที่ท่านมีอำนาจเบ็ดเสร็จ รักษากฎเกณฑ์การเลือกตั้งโดยมีตนเป็นคู่แข่งที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ด้วย ประชาชนและชาวโลกจะมองท่าน, ประเทศของท่าน และประชาชนของท่านอย่างไร

ท่านจะมีความสุขในฐานะเป็นนายกรัฐมนตรีหรืออดีตนายกรัฐมนตรีอยู่อีกหรือไม่?

ผมเชื่อว่าประเด็นคำถามเหล่านี้ ถ้าท่านมีเวลาคิด ท่านจะให้คำตอบดีๆ ที่ประชาชนฟังแล้วมีความสุขทุกข้อ

ถ้าท่านมีเวลาคิดก่อนพูด ปัญหาอื้อฉาวที่เกิดขึ้นก่อนขึ้นปีใหม่เรื่องการซื้อสุนัขพันธุ์บางแก้ว 3 ตัว ที่จังหวัดพิษณุโลกก็คงจะไม่เกิด

เมื่อผมทราบข่าวจากโทรทัศน์ ผมคิดเอาเองว่า ท่านลืมตัวไปว่าท่านมิใช่เป็นสามัญชนคนธรรมดาแล้ว

ถ้าท่านซื้อมาแล้ว จะเอาไปให้คนใกล้ชิดที่มีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรี 2 ท่าน

ท่านกำลังจะแกว่งเท้าหาเสี้ยนหรือไร โชคดีที่คุณศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยโวยดังๆ ขึ้นมา ก่อนที่มีการส่งมอบ “น้องหมา” ไปให้ท่าน

มิเช่นนั้น ทั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีคู่ใจทั้งสองจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

เมื่อข่าวนี้เกิดขึ้นมาบดบังข่าวอื้อฉาวเรื่องนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

ผมผิดหวังเล็กน้อยที่ท่านมิได้ขอโทษประชาชน

และฉวยโอกาสนี้โฆษณานโยบายปราบคอร์รัปชั่นของรัฐบาลนี้

โดยการประกาศต่อสาธารณชนและขอบคุณคุณศรีสุวรรณที่ได้เอาเรื่องนี้ไปร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. ตั้งแต่ความผิดยังไม่สำเร็จ

ชมว่าคุณศรีสุวรรณเป็นพลเมืองดี เป็นยามเฝ้าแผ่นดินที่สมควรได้รับยกย่อง ควรคู่แก่การยึดถือเป็นตัวอย่าง

เช่นเดียวกับช่างภาพที่ถ่ายเอานาฬิกาหรูและแหวนเพชรเม็ดโตของ พล.อ.ประวิตรไปเผยแพร่ก็ควรได้รับการยกย่องด้วย

ถ้าท่านทำเช่นนี้ ความจริงใจและงานปราบคอร์รัปชั่นของท่านอาจจะช่วยลดรอยด่างของรัฐบาลอันเกิดจากนาฬิกาหรูของขุนพลของท่านได้เล็กน้อย

และคนที่เคยมีความศรัทธาท่านก็จะไม่ผิดหวัง…”

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนข้อเรียกร้องของ “คนเคยหนุน” ข้างต้น

ไม่มีการตอบสนองเท่าที่ควร

โดยเฉพาะเรื่องนาฬิกา ที่ถึงขนาดเรียกร้อง “ลดราวาศอก” ให้

มิหนำซ้ำ เรื่องยังลามไปถึงคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้ไปยกเว้นลักษณะต้องห้ามให้กรรมการ ป.ป.ช. ได้ดำรงตำแหน่งต่อ และต้องเป็นผู้พิจารณากรณี “นาฬิกา”

โดยเฉพาะ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. ที่สนิทสนมกับ พล.อ.ประวิตร ถูกจับตาเป็นพิเศษ

ทำให้มีการเคลื่อนไหวจากนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ทำหนังสือถึงประธาน สนช. เสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความเรื่องนี้

และล่าสุดก็มี สนช. ร่วมลงชื่อกันแล้ว

โดยมีข้อสังเกตการเคลื่อนไหวครั้งนี้ อยู่ในฟากฝ่ายของคนที่ออกมาพูดเรื่อง “กองหนุน”

ซึ่งแน่นอน ย่อมไม่ใช่สัญญาณที่ดีต่อ พล.อ.ประวิตร นัก เพราะเมื่อย้อนกลับไปในอดีตที่ไม่ไกลนัก มีข่าวไม่ลงรอยกันของ “บ้าน” 2 บ้านมาแล้ว

แม้จะมีการพยายามเคลียร์กัน แต่ “รอยต่อ” ก็ไม่เชื่อมสนิทนัก

ภาวะบานปลายนี้

ทำให้ถูกกระหน่ำซ้ำจากคนที่เคยเป่านกหวีดเชียร์เป็นวงกว้างขึ้น

เช่น นายประสาร มฤคพิทักษ์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) หรือกลุ่ม 40 ส.ว. ที่แสดงตนมาตลอดของความเป็นคนดี

โดยนายประสารกล่าวว่า ขณะนี้เรื่องแหวนมารดา นาฬิกายืมเพื่อน แถมเพื่อนก็ตายไปแล้ว เป็นประเด็นที่ทุกฝ่ายผะอืดผะอมไปด้วยกันหมด

นายกรัฐมนตรีก็ไม่สบายใจ ป.ป.ช. ก็กระอักกระอ่วนใจ สื่อมวลชนก็คาใจ คอการเมืองทั้งหลายก็ขัดอกขัดใจ รองนายกรัฐมนตรีก็หมองใจ

เหตุผลก็คือ

1. คนระดับรองนายกรัฐมนตรีที่มากบารมีอย่างนี้ อับจนถึงขนาดต้องยืมนาฬิกาเพื่อนใส่เชียวหรือ

2. มีนาฬิกากี่เรือนกันแน่ที่เพื่อนให้ยืม ณ วันนี้โผล่มาเป็นเรือนที่ 22 แล้ว จะยืมกันมากมายอะไรขนาดนั้น

3. เพื่อนผู้ให้ยืมตายไปหมดแล้วทุกคนหรืออย่างไร และ

4. ถ้าเพื่อนตายแล้ว เพื่อนเหล่านั้นไม่มีญาติโกโหติกาที่จะรับคืนนาฬิกาหรือ หรือว่าตกลงกันไว้ก่อนตายว่าถ้าตายแล้วก็ไม่ต้องคืน

นายประสารยังได้ยกคำพูดเติ้งเสี่ยวผิงมากระแทกว่า “อย่าเอาผลประโยชน์ชาติไปตอบแทนบุญคุณส่วนตัว”

“อย่าคิดว่านี่เป็นเรื่องเล็ก เพราะที่เห็นและเป็นอยู่ขณะนี้ มันมีผลสะเทือนทางความเชื่อถือสูงมาก หากรองนายกรัฐมนตรีจะรักษานายกฯ และประคองน้องรักให้ทำหน้าที่ต่อไป ไม่ลากกันไปตายหมู่ ขณะเดียวกันก็ทำให้ ป.ป.ช. ยังมีสง่าราศีและคงความน่าเชื่อถือไว้ได้ แถมไม่ต้องกลายเป็นเหยื่อขุดคุ้ยของฝ่ายการเมืองในฤดูเลือกตั้ง ขอเสนอว่ารองนายกรัฐมนตรีลาออกดีกว่า เป็นวิธีที่จะทำให้ทุกฝ่ายโล่งอกไปด้วยกันไปทั้งหมด” นายประสารระบุอย่างดุเดือด

นี่คือตัวอย่างของกองหนุน

ที่ พล.อ.เปรมเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ดึงกลับมา

แต่ดูเหมือน พล.อ.ประยุทธ์ ก็อยู่ในภาวะหวานอมขมกลืน

ได้แต่แสดงความรู้สึกว่า “คนไทยชอบอะไรก็ชอบ รักอะไรก็รัก เกลียดอะไรก็เกลียด บางคนก็รักๆ เกลียดๆ เกลียดข้างนี้บ้าง เกลียดข้างโน้นบ้าง ผมไม่เคยเกลียดใคร เพราะทุกคนคือคนไทยทั้งสิ้น”

ซึ่งความรู้สึกเช่นนี้ ไม่รู้ว่าคนเคยหนุนฟังแล้วจะรู้สึกเช่นไร

เช่นเดียวกับคำชี้แจงล่าสุด และยาวที่สุดจาก พล.อ.ประวิตร ในกรณีนาฬิกา

โดยกล่าวถึงกรณีเพจซีเอสไอแอลเอเปิดเผยภาพการใส่นาฬิกาหรูมากถึง 24 เรือนแล้วว่า “เป็นการวนเอาเรือนเก่าออกมา ไม่เป็นไร ขอให้ทาง ป.ป.ช. ตรวจสอบ ถ้าชี้ผมผิด ผมก็ออก และการทำงานของ ป.ป.ช. ไม่สามารถไปแทรกแซงได้ เพราะ ป.ป.ช. มีการดำเนินการตามขั้นตอนของเขา คงต้องรอให้เขาตรวจสอบให้เสร็จสิ้น และผมชี้แจง ป.ป.ช. ไปแล้ว”

พล.อ.ประวิตรบอกอีกว่า กรณีอื้อฉาวนี้ “ไม่นอยด์ สภาพจิตใจไม่มีอะไร”

ซึ่งเมื่อถูกถามว่า ปกติเป็นคนชอบสะสมนาฬิกาหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “ผมไม่มีหรอก ผมมีเพื่อน เพื่อนเอามาให้ผมใส่ แค่นั้นเอง และก็คืนเขาทั้งหมดทุกเรือน”

แม้ พล.อ.ประวิตรจะพูดยาวกว่าทุกครั้ง แต่ก็ไม่ “คืบหน้า” อะไรนัก

เพื่อนคนนั้นเป็นใคร ก็ยังเป็นปริศนา

ส่วนเรื่องความรับผิดชอบ ที่ว่า “ถ้าชี้ผมผิด ผมก็ออก” ก็พูดในเชิงเป็นหลักการ

แน่นอนย่อมไม่ได้ความพึงใจจากฝ่ายต่างๆ รวมถึง “กองหนุน” นัก

และหากสถานการณ์ยังจมดิ่งไปสู่ “วิกฤตศรัทธา” มากกว่านี้

เราอาจเห็นกระแสคนเคยหนุน เปลี่ยนไปเป็นอื่น

เป็นอื่นที่ใช่การเรียกร้องให้เลือกตั้ง เพื่อประชาชนจะได้เลือกผู้นำของตนเอง

หากแต่เป็นอื่น ด้วยการเปลี่ยนเป้า “สนับสนุน”

เราอาจจะเริ่มได้ยินถึง “นายกรัฐมนตรีคนนอก” ที่มิใช่ “คนเดิม”

เกมออฟ PRA ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน ยิ่งนัก