เมื่อ ‘การศึกษา’ กลายเป็นนโยบายการเมือง ในการจัดการปาตานี : ข้อค้นพบใหม่

ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ

สิ่งที่ผมเริ่มตระหนักหลังจากต้องบรรยายประวัติศาสตร์ไทยกับปาตานีในเวลาเดียวกันที่สั้นกะทัดรัดและให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย คือต้องหาเหตุผลมาประกอบพรรณนาเรื่องราวในประวัติศาสตร์ในแทบทุกนโยบายและการปฏิบัติ

เพราะแต่ละเรื่องต่างมีเหตุผลและความชอบธรรมที่เป็นของตนเองด้วยกัน จนทำให้ได้ข้อสรุปใหม่ที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่า ประวัติศาสตร์นอกจากจะไม่ใช่เรื่องจริงในทุกอย่างแล้ว ที่สำคัญคือแม้เหตุผลก็มีข้อจำกัดทางเวลาและสถานที่ นั่นคือมันถูกและชอบเฉพาะในเวลาและสภาพแวดล้อมทางกายภาพตอนนั้น

เช่น การปฏิบัตินโยบายการศึกษาทั่วไปที่กรุงเทพฯ ใช้อำนาจบังคับให้ทุกมณฑลและตำบลต้องเรียนการอ่านและเขียนหนังสือภาษาไทยให้ได้ในสมัยรัชกาลที่ 6 อันเป็นที่มาของนโยบายการศึกษาภาคบังคับต่อมา

แนวคิดในการสร้างนโยบายการศึกษาดังกล่าวไม่ได้เกิดเพราะตระหนักถึงความสำคัญของความรู้สมัยใหม่แต่อย่างใด

หากมีที่มาอันซับซ้อน กล่าวคือ แรงบันดาลใจนั้นมาจากปฏิกิริยาของเจ้าหน้าที่อาณานิคมฝรั่งเศสในภาคอีสาน

สภาพทางภูมิประวัติศาสตร์คือการที่ฝรั่งเศสมีอำนาจเหนืออินโดจีนและข่มขู่จะขยายเข้ามาในเขตอิทธิพลของสยามคืออีสาน

ทางแก้คือต้องทำให้คนในอีสานนิยมและยำเกรงรัฐไทย ทำให้เกิดความคิดในการใช้การศึกษาภาษาไทยเพื่อจุดหมายทางการเมือง

การสร้างนโยบายการศึกษาดังกล่าวจึงชอบธรรมเพื่อรักษาเอกราชของพระราชอาณาจักร

ความเกี่ยวพันทั้งหมดนี้จึงเกิดเป็นเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ ทำให้เนื้อเรื่องเดินไปได้ ไม่ใช่ด้วยการท่องจำอย่างภาพนิ่งที่เลื่อนไปตามช่องและเวลา

 

นักวิชาการที่ศึกษาเรื่องระบบอาณานิคมและการปกครองอาณานิคมของยุโรปต่อบ้านเมืองนอกตะวันตกนั้น ต่างยอมรับว่าโดยเนื้อแท้แล้วการศึกษาและการกล่อมเกลาทางความคิดของคนในอาณานิคมนั้นสำคัญไม่น้อยและอาจมากกว่าการใช้กำลังอาวุธเข้าปราบปรามและบังคับให้ยอมรับอำนาจปกครองของเจ้าอาณานิคมเสียอีก

เจ้าอาณานิคมอย่างฝรั่งเศสและอังกฤษจึงสร้างระบบโรงเรียนและระบบตำรวจควบคู่กันไปในเมืองอาณานิคม

ผมคิดว่าชนชั้นนำสยามรุ่นสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ก็คงค้นพบสัจธรรมในความรู้สมัยใหม่ทำนองเดียวกับที่ปัญญาชนยุโรปค้นพบในภารตะทวีปเหมือนกัน

เพียงแต่ยุโรปค้นพบในโลกตะวันออก แต่ชนชั้นนำสยามค้นพบในประเทศไทยที่กำลังเพิ่งปรากฏตัวในการประกอบสร้างในทางทฤษฎีและความคิด

ดังนั้น สิ่งที่ต่อมาเรียกว่า “วัฒนธรรม” ได้กลายเป็นเครื่องมือและจุดหมายในนโยบายปกครองแรกของรัฐบาลกรุงเทพฯ มานับแต่วาระแรกของการรวมศูนย์และปฏิรูปประเทศไทย

เช่นนี้เองที่การต่อต้านประท้วงและไม่ยอมรับจากผู้ปกครองประเทศราชและผู้คนในพื้นที่เหล่านั้นจึงเป็นดัชนีแสดงว่านโยบายดังกล่าวได้แสดงถึงพลังอำนาจของการดัดแปลงและทำลายอำนาจดั้งเดิมในพื้นที่ลงไปแล้วนั้นเอง

 

ผมพบว่าการใช้นโยบายการศึกษาภาคบังคับหรือที่เรียกว่าพระราชบัญญัติประถมศึกษา พ.ศ.2464 ในสมัยรัชกาลที่ 6 นั้น ไม่ได้มีการวางแผนอย่างเป็นระบบจากรัฐบาลกรุงเทพฯ แต่ประการใด

หากแต่จริงๆ แล้วเป็นผลมาจากการร้องขอของพระยาเดชานุชิตสมุหเทศาภิบาลมณฑลปัตตานี ว่าไม่อาจปฏิบัตินโยบายการศึกษาที่ให้นักเรียนมลายูพูดและเขียนภาษาไทยได้

แม้มีการผ่อนปรนให้สอนภาษามลายูบ้างในโรงเรียน แต่ผู้ปกครองก็ไม่ยอมนำลูกหลานมาเข้าโรงเรียนไทย ซึ่งส่วนมากจัดสอนในวัดไทย ทั้งครูก็ไม่พออีก ยังไม่ต้องพูดถึงเครื่องมือเครื่องไม้แม้กระดานดำก็ไม่พอ

เมื่อขอไปทางกรุงเทพฯ บอกให้ทำกันเอง พร้อมให้คำแนะนำในการทำกระดานดำไปให้

นักเรียนที่เรียนอยู่ในเกณฑ์บังคับให้เล่าเรียนหาได้เล่าเรียนเต็มตามหลักสูตรไม่ เพราะมีเวลาไปเข้าโรงเรียนน้อย คอยต้อนเข้าโรงเรียนเป็นจับปูใส่กระด้งอยู่เสมอ

เด็กเหล่านี้ปีหนึ่งมีเวลาเรียนจริงๆ ไม่ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ผู้ที่สอบไล่ได้โดยมากนั้นมักเป็นที่ตั้งใจเล่าเรียนจริงๆ แทบทั้งนั้น

ดังนั้น การเล่าเรียนของเด็กยังไม่ได้ผลดีทำให้สภาพโดยรวมไม่ประสบความสำเร็จ

“จำนวนเด็กมาเรียนน้อยเกิดคาดหมาย โหรงเหรงเต็มที ดูในบัญชีเรียกชื่อก็มีจำนวนมากแต่ไม่มาเรียน ได้รับคำแก้ว่าติดช่วยพ่อแม่ไถนา เป็นเวลาไถนากันจริง แต่พลิกดูเดือนก่อนๆ ก็มีขาดกันมากๆ ไล่เรียงเข้าจึงได้ความกระด้างเสียมาก…”

 

แม้เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี เสนาบดีกระทรวงธรรมการจะแนะนำว่าให้ใช้วิธีการทางอ้อมทีละเล็กละน้อยก่อน แต่ทางสมุหเทศาภิบาลปัตตานีไม่ยอม อ้างว่า “ควรจัดเป็นการศึกษาบังคับ คือบังคับให้ราษฎรส่งบุตรหลานเข้าเล่าเรียน…เมื่อราษฎรหัวดื้อไม่ยอมส่งบุตรเข้าเรียนแล้ว จะเอาอะไรมาบังคับ…” ทั้งยังเชื่อว่าการปกครองในมณฑลปัตตานีรู้สึกได้แน่นอนว่าจะสะดวกและเรียบร้อยได้ก็เมื่อการศึกษาเจริญแล้ว จึงควรจัดโดยแท้

ไม่น่าเชื่อว่าวิธีคิดแบบนี้ก็ยังมีเจ้าหน้าที่ส่วนกลางเชื่อกันไม่เสื่อมคลาย ว่าหากทำการศึกษาให้เรียบร้อย ทำการพัฒนาให้เรียบร้อย ฯลฯ การปกครองในปัตตานีก็จะเรียบร้อยตามไปด้วย

น่าสนใจว่าสมัยโน้น ผู้ปกครองระดับสูงเช่นเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีและสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ก็ตาม ก็คอยแนะนำและเตือนให้ใช้วิธีการอันผ่อนปรน ค้นหาแนวทางอันเหมาะสม ค่อยๆ ทำไปทีละเล็กละน้อย

ตัวอย่างในมลายาอังกฤษก็ไม่บังคับให้คนมุสลิมเข้าโรงเรียนหากแต่ให้เสรีภาพว่าจะเข้าหรือไม่ก็ตามใจ

แต่ผู้ปกครองในพื้นที่เองกลับไม่ยินยอม เพราะผลงานไม่ประทับใจและเป็นเครื่องหมายของความล้มเหลว

ดังในกรณีของพระยาเดชานุชิตสมุหเทศาภิบาลมณฑลปัตตานี ที่ยืนยันให้รัฐบาลออกมาตรการเด็ดขาดอันเป็นการบังคับทางกฎหมายซี่งมีบทลงโทษราษฎรได้

ในที่สุดนำไปสู่การออกพระราชบัญญัติประถมศึกษา พุทธศักราช 2464 ซึ่งส่วนมากไม่อาจบังคับใช้ได้ในทุกตำบล มีเพียง 5 มณฑลเท่านั้นที่บังคับใช้ 100 เปอร์เซ็นต์คือ ปัตตานี นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี อุดร ร้อยเอ็ด

ส่วนมณฑลกรุงเทพฯ ที่น่าจะพร้อมที่สุดก็ขอผ่อนผันมากที่สุด

 

ทางฝ่ายผู้ปกครองเด็กมลายูก็หาทางตอบโต้วิธีการบังคับ ด้วยการดื้อแพ่งและไม่ทำตามทั้งหมด หากแต่เลือกทำในหนทางที่ต้องการ เช่น การไม่ให้เด็กนักเรียนไปโรงเรียนตามกำหนด มักขาดและหายไปหลายๆ วัน

แต่ชาวบ้านศึกษาเนื้อหากฎหมายแล้วว่าไม่ผิด นั่นคือระเบียบที่ห้ามไม่ให้นักเรียนขาดเกิน 30 วันติดๆ กัน ผู้ปกครองก็ให้นักเรียนไปวันหนึ่งหรือสองวันแล้วขาดไป 29 วัน จำนวนนักเรียนจึงเข้าเรียนจริงน้อยกว่าที่ควรเป็น อันนี้เป็นการต่อสู้อย่างอหิงสา

ที่เป็นเรื่องราวใหญ่โตคือเกิดการประท้วงที่หน้าที่ว่าการอำเภอในบ้านน้ำใส อ.มายอ ปัตตานี ผู้ที่ถูกจับได้จากเหตุที่เกิดที่บ้านน้ำใสและถูกส่งฟ้องข้อหาขบถทั้งหมด 15 คน มีว่า “จำเลยเหล่านี้ได้กระทำการอันถือได้ว่าเข้าร่วมกับอับดุลกาเดร์ที่ถือว่าเป็นขบถจริง แต่ศาลพิจารณาว่าการกระทำของจำเลยเป็นเพียงลักษณะผู้ร้ายที่รวบรวมกำลังเข้าต่อสู้เจ้าพนักงาน ยังไม่ทันบรรลุผลตามความมุ่งหมาย คือ แย่งพระราชอาณาเขต จึงยังไม่พอวินิจฉัยว่า ได้เกิดขบถขึ้นแล้ว”

จำเลยจึงมีความผิด “เพียงสถานพยายามก่อขบถตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 102…”

ทั้งหมดถูกพิพากษาลงโทษ จำคุกคนละ 15 ปี แต่เนื่องจากสารภาพ จึงได้รับลดโทษ 1 ใน 3 เหลือจำคุกคนละ 10 ปี คำตัดสินศาลอุทธรณ์ก็ยืนตามศาลชั้นต้นว่าความผิดเกิด “…ยังไม่พอจะถือว่าได้ มีการขบถเกิดขึ้นแล้ว… จำเลยมีความผิดฐานพยายามจะก่อความผิด…”

ผมประเมินจากสภาพการณ์แวดล้อม สันนิษฐานว่าหัวหน้าผู้ยุยงให้เกิดความไม่สงบคืออับดุลกาเดร์ อดีตเจ้าเมืองปัตตานี ไม่น่าเป็นจริงเพราะเขาลี้ภัยหลังจากออกจากคุกไทยไปพำนักในกลันตัน และไม่มีเงื่อนไขอะไรในการก่อเหตุที่จะทำให้ได้ชัยชนะเหนือรัฐไทย

ยิ่งพิจารณาจากคำร้องเรียนและการออกมาชุมนุมของชาวบ้าน ที่ระบุถึงความไม่พอใจในเรื่องภาษีมากมาย และโดยเฉพาะเงินค่าการศึกษาพลี ที่เรียกเก็บจากชายฉกรรจ์อายุ 16-60 คนละไม่ต่ำกว่า 1 บาทและไม่เกิน 3 บาทต่อปี จึงน่าจะมาจากความไม่พอใจในนโยบายที่ชาวบ้านมองว่าเป็นการกดขี่มากกว่ามาจากอดีตเจ้าเมืองปลุกปั่น

แต่กรณีนี้เป็นครั้งแรกที่ชาวบ้านรวมตัวกันเองไม่ใช่จากผู้นำดั้งเดิมดังที่เคยเป็นมา ทำให้ทางการไทยไม่อาจคิดเป็นอื่นไปได้นอกจากสรุปจากประสบการณ์เดิม

 

ในที่สุดทางการยอมรับว่า เกี่ยวกับการเกณฑ์บังคับให้เด็กเข้าเล่าเรียนอย่างเคร่งครัดนี้ คงจะมีส่วนจริงอยู่บ้างเพราะในรายงานของเจ้าพระยายมราช เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น ได้รายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ตอนหนึ่งว่า “ในมณฑลปัตตานีนี้รู้สึกด้วยเกล้าว่าดูเหมือนเจ้าหน้าที่จะพยายามในเรื่องบังคับการเล่าเรียนเคร่งมากกว่าชั้นในเสียอีก”

นำไปสู่การผ่อนปรนและกำชับข้าราชการไทยให้คำนึงถึงความแตกต่างในวัฒนธรรมมุสลิมด้วย

ที่สำคัญแก้ไขความเข้าใจผิดว่าการบังคับเล่าเรียนนั้น มีความมุ่งหมายที่จะให้เปลี่ยนธรรมเนียมและลัทธิศาสนาให้เป็นอย่างที่คนไทยนับถือด้วยไม่ได้มีนโยบายในเรื่องนั้น นำไปสู่การผ่อนผัน กระนั้นก็ไม่ทำให้นักเรียนเพิ่มมากขึ้น

ผลคือจำนวนนักเรียนลดลงมาก และที่เรียนก็ไม่มีคุณภาพ เมื่อเทียบกับเกณฑ์ทั่วประเทศ

นวัตกรรมในเรื่องการศึกษาอีกด้านคือเรื่องการเปิดโรงเรียนสตรีให้เด็กหญิง ไม่เกณฑ์ให้เข้าโรงเรียน แต่ใช่วิธีจูงใจให้ส่งบุตรหลานเข้าโรงเรียนไทย เพื่อเป็นครูสอนเด็กหญิงมลายูต่อไป

ปี 2474 มีครูผู้หญิงเป็นมุสลิมคนแรกและเปิดทดลองโรงเรียนสำหรับเด็กหญิงมุสลิม ระยะแรกสอนเฉพาะภาษามลายูเท่านั้น หมายความว่านโยบายโรงเรียนสตรีในประเทศไทยก็มาจากการทดลองในปัตตานีด้วยเช่นกันหรือ