เจาะสเป๊ก 2 รถหรู ‘ปลั๊ก-อินไฮบริด’ เบนซ์ ‘C 350 e’ – ลัมโบร์ ‘Urus SE’

สันติ จิรพรพนิต

กลายเป็นกระแสที่มาแรงมากในช่วงพักใหญ่ๆ ที่ผ่านมา เมื่อผู้บริโภคให้ความสนใจกับรถเครื่องยนต์ไฮบริด และปลั๊ก-อินไฮบริด มากขึ้นอย่างมีนัย

ส่วนหนึ่งเพราะความประหยัดกว่ารถน้ำมันเพียวๆ

ขณะเดียวกันก็ใช้งานได้สะดวกกว่ารถไฟฟ้า

ค่ายรถหลายค่ายเริ่มทำแคมเปญโฆษณา ทำนองว่าขับรถไฮบริดได้ทั้งความประหยัด และไม่ต้องวางแผนมากหากต้องเดินทางไกล

ล่าสุดมี 2 ค่ายรถหรู-รถแรง ออกรุ่นใหม่มายั่วน้ำลาย

เมอร์เซเดส-เบนซ์ “C 350 e AMG Dynamic” รุ่นแต่งพิเศษ “Night Edition” และลัมโบร์กินี “Urus SE”

เป็นรถขุมพลัง “ปลั๊ก-อินไฮบริด”

เริ่มที่ “C 350 e AMG Dynamic” รุ่นแต่งพิเศษ “Night Edition”

เด่นด้วยุดแต่งสีดำรอบคัน ทั้งกระจกมองข้างสีดำเงา กระจังหน้า กันชนหน้า และล้อแมกซ์รมดำแบบ AMG 5-spoke aerodynamically ขนาด 18 นิ้ว

ภายในแต่งด้วยสีทูโทน แดง-ดำ เสริมหล่อกับลายคาร์บอน และสีดำเปียโนแบล็ก

พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น หน้าจอขนาด 12.3 นิ้ว บริเวณด้านหน้าของผู้ขับขี่

ตรงกลางเป็นหน้าจอเครื่องเล่นขนาด 11.9 นิ้ว ที่รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto

กระจกหน้าต่างแบบ Heat and noise-insulting acoustic glass ป้องกันรังสีอินฟาเรด และเสียงสะท้อนจากภายนอก

ระบบฟอกอากาศแบบ ENERGIZING AIR CONTROL และ MBUX augmented reality for navigation

ขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 1,999 ซีซี ระบบอัดอากาศ Turbocharged กำลังสูงสุด 204 แรงม้า ที่ 6,100 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร ที่ 2,000-4,000 รอบ/นาที

ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 129 แรงม้า 440 นิวตัน-เมตร

กำลังรวมสูงสุดทั้งระบบ 313 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร

จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-TRONIC

แบตเตอรี่ Lithium-ion ความจุ 25.4 kWh รองรับการชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับ AC สูงสุด 11 kW และรองรับการชาร์จไฟฟ้ากระแสตรง DC สูงสุด 55 kW

ใช้เวลาชาร์จจาก 0-80% เพียง 20 นาที

ขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าได้มากกว่า 100 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง (มาตรฐาน WLTP)

ทำความเร็วสูงสุดจากโหมดการขับขี่แบบพลังงานไฟฟ้าล้วน (Electric Mode) 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ความปลอดภัยจัดแน่นตามสไตล์รถจากเยอรมนี เด่นๆ เช่น ระบบรักษาระยะห่างจากรถด้านหน้าและควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา (Blind Spot Assist)

ระบบช่วยในการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติพร้อมกล้อง 360 องศา โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ESP ระบบช่วยเบรกแบบแอคทีฟ ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS ฯลฯ

C 350 e AMG Dynamic “Night Edition” ราคา 3,290,000 บาท

 

ส่วนลัมโบร์กินี “Urus SE” นำเข้ามาโดยบริษัท เรนาสโซ มอเตอร์ จำกัด ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ลัมโบร์กินีอย่างเป็นทางการรายเดียวในประเทศไทย

ถือเป็นซูเปอร์เอสยูวีระบบปลั๊ก-อินไฮบริด รุ่นแรกของลัมโบร์กินี

หน้าตาเน้นความโฉบเฉี่ยว โชว์เหลี่ยมสันรอบคัน

ฝากระโปรงทรงใหม่แบบ Floating Design ลบเส้นสายที่เป็นตัวแบ่งส่วนต่างๆ ทิ้งไปเพื่อเสริมความรู้สึกลื่นไหลต่อเนื่อง และเน้นย้ำถึงรูปทรงแบบนักกีฬา

ชุดไฟหน้าที่ Matrix LED และไฟเดย์ไทม์รันนิ่ง ซิกเนเจอร์ใหม่ล่าสุด มีแรงบันดาลใจมาจากหางวัวกระทิง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ลัมโบร์กินี

ชุดไฟท้ายด้วยดวงไฟรูปตัว “Y” และดิฟฟิวเซอร์หลังรูปแบบใหม่

สปอยเลอร์ใหม่ทำงานร่วมกับดิฟฟิวเซอร์หลัง ช่วยเพิ่มแรงกดขณะวิ่งด้วยความเร็วสูงเพิ่มขึ้นถึง 35% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Urus S

ล้ออัลลอยดีไซน์ Galanthus ขนาด 23 นิ้ว พร้อมยาง Pirelli P Zero รุ่นใหม่

มีโทนสีตัวรถให้เลือก และออปชั่นการตกแต่งอีกมากกว่า 100 องค์ประกอบ

2 โทนสีใหม่ ทั้ง Arancio Egon (สีส้ม) ที่จับคู่กับการตกแต่งห้องโดยสารโทนสี Arancio Apodis (สีส้ม)

และสี Bianco Sapphirus (สีขาว) จับคู่กับการตกแต่งห้องโดยสารโทนสี Terra Kedros (สีน้ำตาลแดง)

 

ภายในให้อารมณ์อวกาศสุดสุด และได้ฟิลเหมือนอยู่ในเครื่องบิน โดยเฉพาะภายในสีส้มตัดกับสีดำ

พวงมาลัยท้ายตัดพร้อมระบบมัลติฟังก์ชั่น

หน้าจอขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว แสดงผลกราฟิก Human Machine Interface (HMI) เวอร์ชั่นใหม่ที่ใช้งานได้ง่ายดาย

เกียร์เป็นหนึ่งในไฮไลต์เพราะมองผาดๆ คล้ายเกียร์เครื่องบินก็ว่าได้

เบาะนั่งแบบสปอร์ต

ถ้าใครไม่ชอบสีหรือการตกแต่ง สามารถเลือกออปชั่นคู่สีอีกกว่า 47 แบบ และการเย็บตะเข็บตกแต่งถึง 4 สไตล์ (Q-Citura Stitching)

รวมถึงโปรแกรมการตกแต่ง Ad Personam

เรียกว่าสามารถแต่งตามใจชอบชนิดมีคันเดียวในโลกก็ได้

คามแรงหายห่วงเพราะใช้เครื่องยนต์เบนซิน V8 ความจุกระบอกสูบ 3,996 ซีซี Bi-Turbo

ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 800 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 950 นิวตันเมตร ที่ 2,250-4,500 รอบ/นาที

แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ความจุ 25.9 kWh

ระบบส่งกำลังเป็นเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ปรับการตอบสนองอัตโนมัติ ตามรูปแบบการขับขี่

ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ

อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้เวลาเพียง 3.4 วินาที

ความเร็วสูงสุดที่ 312 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ถือเป็นรถเอสยูวีตัวจี๊ดสุดของค่าย

มีโหมดการขับขี่ให้เลือกเพียบ ทั้ง Strada, Sport, Corsa เหมาะกับถนนและสนามแข่ง

Neve, Sabbia และ Terra สำหรับพื้นผิวที่มีการยึดเกาะที่แตกต่างจากพื้นยางมะตอย

สามารถทำงานร่วมกับการขับขี่ในโหมด EV Drive, Hybrid, Performance และ Recharge

วิ่งด้วยระบบ EV Drive สามารถวิ่งได้ไกลสุดถึง 60 กิโลเมตร และเร่งความเร็วสูงสุดที่ 130 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ระบบช่วงล่างออกแบบพิเศษ รวมถึงระบบบังคับเลี้ยว ช่วยให้เลี้ยวง่ายในความเร็วต่ำ และมั่นใจในความเร็วสูง

ลัมโบร์กินี “Urus SE” ราคาขายเริ่มต้น 24.98 ล้านบาท •

 

ยานยนต์ สุดสัปดาห์ | สันติ จิรพรพนิต

[email protected]