เล่าประสบการณ์ ร่วมพิธี ‘ไหว้ครู’ ไสยเวทจีน (จบ)

คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง

พิธีไหว้ครูอย่างจีนที่เป็นการไหว้ประจำปีนั้น มักจัดเป็นงานสำคัญและมีรายละเอียดมาก ซึ่งเหลือผู้ที่จัดได้อย่างสมบูรณ์น้อยแล้ว เพราะส่วนใหญ่ศาลเจ้าหรือสำนักพิธีกรรม/ตำหนักทรงซึ่งมักอยู่ตามบ้านคนมักจะจัดงาน “แซยิด” หรืองานเทวสมภพของเทพประธานเสียมากกว่า หรือส่วนมากก็ไม่ได้ยกระดับเป็น “สำนัก” (ต๋องหรือแต้จิ๋วว่าตึ๊ง) ที่ให้การเรียนการสอนนั่นเอง

งานไหว้ครูไสยเวทจีนมักกำหนดให้ทำในวันเทวสมภพของ “ไท่ส่องโล้กุ๊น” หรือ “เล่าจื๊อ/เหลาจื่อ” พระศาสดาแห่งศาสนาเต๋า ถือกันว่าท่านไม่ได้เป็นเพียงพระปรมาจารย์ผู้รจนาคัมภีร์เต๋าเต็กเก๊งเท่านั้น แต่ท่านยังเป็นหนึ่งในสามเทพสูงสุดของศาสนาเต๋าอีกด้วย (ตรีวิสุทธิ์คูหาปรมาจารย์ – ซำเช้งเต๋าจ้อ)

การนับถือไท่ส่องโล้กุ๊นในพวกไสยเวทสายลื่อซาน ถูกวิพากษ์วิจารณ์มาตั้งแต่สมัยโบราณโดยนักพรตแปะหยกเซียนจินหยินว่า พวกลื่อซานอ้างถึงไท่ส่องโล้กุ๊นโดยที่ไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวอะไร เพราะพวกลื่อซานถูกมองจากสายพรตหรือสายหลวงว่าเข้าเจ้าเข้าผีเต้นแร้งเต้นกาจึงไม่น่าจะเข้าใจแนวคิดปรัชญาลึกซึ้งทางเต๋า

กระนั้น ที่จริงลื่อซานเองก็มีหลายพวกหลายสาย มีพวกที่สัมพันธ์กับเต๋าสายพรตมากๆ หรือสัมพันธ์กับสายพุทธก็มี ไท่ส่องโล้กุ๊นเองก็มีความสำคัญในขนบลื่อซาน ถือเป็นพระปรมาจารย์สูงสุดไม่ต่างกับสายพรต

 

ในปะรำพิธีที่เซียงกองต๋องจึงมีรูปไท่ส่องโล้กุ๊นเป็นประธาน และมีพระครูใหญ่ลื่อซานคือ พระคอจินหยิน ตามมาด้วยพระครูใหญ่สูงสุดในสายซำตั๋ว (ตรีมณฑล) ได้แก่ พระมหาเถระพ้ออ๊าม พระนาคารชุนแพทยราช (หลองชิ้วอี่อ๋อง) เทพปักเก๊กจินบู้ไต่เต่หรือ “เทพเฮี่ยนเที้ยนส่องเต่” (อุตรดาริกาธิราช/เทพเจ้าดาวเหนือ) ซึ่งคนไทยมักรู้จักในชื่อ “เจ้าพ่อเสือ” เพราะอยู่ในศาลเดียวกัน (แต่ไม่ใช่เทพเสือหรือฮ่อเอี๋ย)

พ้ออ๊ามมหาเถระ พระนาคารชุน และอุตรดาริกาเทวราชเป็นครูสูงสุดในสายตรีมณฑล ซึ่งเป็นสาขาย่อยของลื่อซานอีกทีและเป็นสายที่อาจารย์นนท์และผมสังกัด

ดังนั้น โดยธรรมเนียมและความเชื่อ ไม่ว่าจะทำพิธีอะไร ผู้ประกอบพิธี (ฮวดกั๊ว) ในสายซำตั๋วจะต้องอัญเชิญทั้งสามองค์นี้ก่อนเสมอ ถือว่าเดชานุภาพและคุณานุคุณของครูจะปกเกล้าคุ้มเกศไม่ให้เกิดภยันตราย ขจัดเหตุเภทภัยและช่วยให้ประสิทธิทุกอย่าง

ในพิธีไหว้ครูจึงต้องเตรียมการตั้งแต่งมณฑลพิธีให้สวยงามถูกต้องตามลำดับ ไม่ว่าจะเทวรูปหรือฉากพระบฏแขวน นอกจากนี้ ยังมีการนำเอาอุปกรณ์พิธีกรรมไสยเวท เช่น ธงดำ ธงเอี๋ยห้าสี แส้งู (ฮวดโซะ) หัวขุนพลผีทั้งห้า (ง่อเอี๋ยถาว) ฯลฯ ทั้งของอาจารย์และลูกศิษย์นำมาสักการะและเข้าพิธีด้วย

 

ส่วนของเซ่นไหว้บูชา เท่าที่ผมเห็นก็เป็นสิ่งของตามประเพณีทั่วไป เช่น ดอกไม้ธูปเทียน ขนมและอาหารหลากหลายชนิดดังที่ได้เคยเล่าไว้บ้างแล้ว แต่อาจมีของพิเศษต่างๆ เป็นต้นว่า ยันต์ (หู) บางชนิดและฎีกาจำนวนหลายแผ่นเพื่อใช้ในขั้นตอนต่างๆ รวมทั้งหากมีการสวดบูชาดาว (เล่ต้าว) ก็จะต้องมีตะเกียงบูชาดาวที่เติมไว้ไม่ให้ดับ และถังต้าวคือถังไม้ใส่ข้าวสารและเครื่องประกอบต่างๆ เป็นสัญลักษณ์ที่สถิตเทพแห่งดวงดาวอีกด้วย

ธรรมเนียมพิธีไหว้ครูใหญ่จะต้องจัดงานอย่างน้อยสองวัน วันแรกเป็นวันสุกดิบ นอกจากจัดเตรียมเครื่องบูชาต่างๆ แล้ว หากมีพิธีกรรมเยอะก็จะเริ่มด้วยพิธีกรรมแรกคือการเปิดมณฑลพิธี (ค้ายต๋าน) ตั้งแต่เช้ามืดเสียก่อน เจ้าพิธีจะทำการชำระล้างมณฑลไปตามลำดับที่ปรากฏในตำรา “หล่ำจ๋วนเฮี้ยงซุ่ยฮวดก่าวค้ายต๋านเอียนเจ่งอิดจ้อง” ซึ่งเป็นหลักพิธีกรรมสำคัญของสายตรีมณฑล เพราะ “หล่ำจ๋วนเฮี้ยงซุ่ย” (ธรรมสาคร-สุคนธสาครแห่งภูเขาหล่ำจ๋วน) นั้น เป็นชื่อสถานธรรมของพระปรมาจารย์พ้ออ๊ามที่สืบสายวิชาไสยเวทลงมา

การชำระมณฑลมีทั้งใช้ไฟชำระ คือการจุดกระดาษปัดวนไป การชำระด้วยน้ำเทพมนต์ (หูซุ่ย) การชำระและกางกั้นมณฑลด้วยข้าวสารเสกผสมเกลือ (เอี่ยมบี้) และใช้อุปกรณ์ต่างๆ จากนั้นจึงสวดอัญเชิญเทวาจารย์และเทพเจ้าให้เสด็จมายังมณฑลพิธี อ่านฎีกาทูลถวาย

ตกค่ำจึงจัดพิธีกรรมบูชาดาว “บูชาสัปตดารามณฑล” (เล่ต้าว) คือบูชาดาวปักต้าวทั้งเจ็ด บางท่านก็ว่าเป็นกลุ่มดาวจระเข้หรือดาวกระบวยเหนือ มีการจุดประทีปบูชาดาวและสวดมนต์ตามคัมภีร์ เพื่อให้เกิดสวัสดิมงคลขจัดเภทภัยอันตรายต่างๆ อันจะปรากฏในดวงชะตาได้ กว่าจะเลิกก็ค่ำมืดดึกดื่นแล้ว

 

เช้ามืดของวันพิธีไหว้ครู เนื่องจากในปีนี้เป็นวาระพิเศษ คือในทุกๆ ห้าปีจะมีพิธีกรรมเพิ่มเติมคือการอัญเชิญไฟศักดิ์สิทธิ์ (เชี้ยโห้ย)

การเชิญไฟศักดิ์สิทธิ์มีความหมายหลายประการ อธิบายอย่างง่ายคือการตั้งขบวนไปอัญเชิญไฟ (ควันธูปจุดมาในกระถาง) จากริมทะเล เพื่อเพิ่มเทวานุภาพของเทพเจ้าที่สำนัก

ในอีกทางหนึ่ง ศาลเจ้าและแท่นบูชาที่มีคนเข้าๆ ออกๆ มากมายอยู่ตลอดนั้น “ปราณ” ของเทพเจ้าก็จะลดลงเพราะปราณของมนุษย์มีมาก จึงต้องทำการอัญเชิญปราณเทพเข้ามาใหม่ ส่วนในทางไสยเวทก็อาจอธิบายได้อีกว่า เป็นการไป “เก็บเอี๋ย” หรือเรียกเอาวิญญาณผีจากท้องทะเลเอามาใช้สอยเพิ่มเติมจากที่เคยมีอยู่หรือลดลง อันนี้ก็เป็นไปในทางความเชื่อ บางท่านก็ว่าเป็นเรื่องมิติทางประวัติศาสตร์ คือการไปรำลึกเชื่อมโยงกับการเดินทางมายังแผ่นดินใหม่ก็มี

เมื่อเชี้ยโห้ยมาแล้วก็จะเริ่มพิธีไหว้ครูในเช้าวันนั้น ศิษยานุศิษย์จะมารวมตัวกันบูชาเทวาจารย์ และต่อด้วยพิธีถวายพระพรแก่เทพเจ้าในโอกาสเทวสมภพ (จ๊อกเซ้ง) โดยถวายเครื่องสักการะและคำน้อมสรรเสริญไปตามลำดับ เช่นเดียวกับถวายพระพรในงานเลี้ยงวันเฉลิมพระชนมพรรษา ตามโบราณราชประเพณีในพระราชวังหลวงของจีนนั่นเอง

ใครดูหนังจีนเก่าๆ มาบ้างก็คงพอนึกภาพออก

 

ได้พักกันนิดหน่อยในช่วงบ่าย จากนั้น จะมีพิธี “ฮวดหู” คือการปลุกเสกยันต์ศักดิ์สิทธิ์ และต่อด้วยพิธีเลี้ยงพลทหารเทพ (ผี) หรือพิธีโข้กู๊น เนื่องจากศาลเจ้าหรือสำนักต่างๆ เวลามีการประกอบพิธีใหญ่ๆ จะต้องเรียกเอาดวงวิญญาณที่เก็บไว้ใช้มาเป็นพลทหารกั้นกางรักษาอาณาเขต เพื่อไม่ให้ผีร้ายที่ไม่เกี่ยวข้องมาทำอันตราย โดยมีง่อเอี๋ยถาวหรือหัวห้าทหารและธงเอี๋ยห้าสีเป็นสัญลักษณ์ แบ่งออกเป็นห้ากองพันประจำทั้งห้าทิศ เมื่อเรียกมาใช้ก็ต้องมีการเลี้ยงอาหารไพร่พลให้อิ่มหนำ มีการจัดอาหารเป็นหม้อๆ เหล้ายา และพิธีรำเอี๋ย เรียกกำลังพลมาโดยลำดับ รวมทั้งเลี้ยงอาหารแก่ม้าพาหนะด้วย

เสร็จการโข้กู๊นแล้วก็จะเป็นพิธีช่วงท้าย บรรดาศิษย์จะมาทำการ “ถวนจิ่ว” หรือทบทวนและสืบทอดบทเทพมนต์ (สีนจิ่ว) ที่ใช้อัญเชิญและสรรเสริญเทพกัน โดยจะท่องกันเป็นหมู่คณะ ที่เรียกว่า สืบทอด (ถวน) นั้นก็เพราะว่าเป็นการป้องกันมิให้บทมนต์เหล่านี้หายไปหรือตกหล่น และศิษย์รุ่นใหม่ๆ ก็จะได้ยินศิษย์พี่ท่องให้ฟังด้วย

จากนั้นจึงเป็นการเสี่ยงทายประธานกรรมการจัดงาน (เถ้าเก่-หล่อจู้) ในปีต่อไป โดยขานชื่อและใช้ไม้โป้ยเสี่ยงทาย บรรดาศิษย์ส่งเทวาจารย์และลาปะรำก็เป็นอันเสร็จพิธีไหว้ครู

 

อันที่จริง มีช่วงเวลาอยู่สองช่วงที่ผมออกจะประทับใจมากนอกเหนือจากพิธีกรรมอันน่าตื่นตา ช่วงแรกนั้นคือเวลาที่บรรดาศิษย์ทั้งหลายพากันต่อคิวรอกราบคารวะอาจารย์ก่อนจะจบพิธี เป็นกิจกรรมนอกกำหนดการ ไม่มีการบังคับ ไม่มีการนัดหมาย และอาจารย์ก็ออกจะเคอะเขินไม่น้อยจนพยายามบ่ายเบี่ยง

เวลานั้นแต่ละคนจะเอาพวงมาลัย อั่งเปา ส้ม ฯลฯ เข้าไปกราบอาจารย์โดยลำดับ บางคนสารภาพความรู้สึกผิดหรือที่ตนออกนอกลู่นอกทาง บางคนกล่าวขอบคุณ ผมไม่เคยเห็นคนวัยเดียวกันหรืออายุมากกว่ารวมใจกันแสดงความเคารพต่ออาจารย์วัยหนุ่มด้วยน้ำใสใจจริงเช่นนี้ นับเป็นภาพอันงดงาม

ต้องบอกว่าในสำนักเซียงกองต๋อง ศิษย์กับอาจารย์วัยใกล้ๆ กันครับ ผมออกจะเป็นคนรุ่นแก่กว่าเขาเพื่อน บางคนนอกเวลาก็เป็นเพื่อนกับอาจารย์นี่แหละ รักใคร่เป็นพี่เป็นน้องกัน แต่ก็สั่งสอนชี้แนะกันได้

 

อีกโมเมนต์หนึ่ง ตอนที่เรานั่งรถเพื่อไปเชี้ยโห้ยยังสะพานหินในช่วงเช้ามืด ระหว่างนั้นรถของพวกเราผ่านบ้านแป๊ะเกี๋ยว อาจารย์ของอาจารย์นนท์ ในความมืดสลัวของเช้ามืดและบ้านที่ปิดสนิทอยู่ ผมแอบสังเกตเห็นอาจารย์นนท์ยกมือไหว้ไปยังบ้านหลังนั้นอยู่พักหนึ่งด้วยความนอบน้อมสำรวมใจ ผมน้ำตาคลอ แม้แป๊ะเกี๋ยวจะสิ้นชีพไปนานแล้ว ความเป็นครูศิษย์ก็มิได้สิ้นสุดลงไปด้วย

นอกเหนือจากอำนาจทิพยศักดิ์ของเทวาจารย์ ที่สุดแล้วก็คือความสัมพันธ์ของมนุษย์นี่แหละครับที่ได้ช่วยสืบสายสรรพวิชามายังคนรุ่นเรา โดยมุ่งหมายให้ใช้วิชาเหล่านี้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ พอเราตระหนักว่าเรามิได้เก่งคนเดียวดีคนเดียว แต่เพราะเรามีครูอาจารย์ อหังการมันก็ลดลง ปล่อยให้ความศักดิ์สิทธิ์ของครูมาเข้ามาทำงานในเนื้อในตัว

ผู้ใช้ไสยเวทนั้นมีคติความเชื่อว่า เมื่อเราได้ทำงานรับใช้ครูบาอาจารย์และเพื่อนมนุษย์แล้ว พอชีวิตในโลกนี้สิ้นสุดลง เราก็จะได้ไปพบกับครูบาอาจารย์และร่วมเรียนกับครูอีก ในสถานธรรม “ธรรมสาคร-สุคนธสาครแห่งภูเขาหล่ำจ๋วน” ดินแดนสถิตแห่งผู้ใช้ไสยเวททั้งหลาย

จนกว่าจะกลับมาช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และสรรพชีพอีก

ครั้งแล้วครั้งเล่า •

 

ผี พราหมณ์ พุทธ | คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง