‘วิกฤตการณ์บ้านโป่ง’ : เกือบจะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว (จบ)

ณัฐพล ใจจริง

My Country Thailand | ณัฐพล ใจจริง

 

‘วิกฤตการณ์บ้านโป่ง’

: เกือบจะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว (จบ)

 

นับแต่ “วิกฤตการณ์บ้านโป่ง” เมื่อ 18 ธันวาคม 2485 คลี่คลายลง การสืบสวนเรื่องราวก็เกิดขึ้น แต่ข้อสรุปจากฝ่ายไทยและฝ่ายญี่ปุ่นต่างมีข้อสรุปการเริ่มวิวาทที่ไม่ตรงกัน อีกทั้งฝ่ายญี่ปุ่นเรียกร้องให้ประหารชีวิตผู้ต้องหาฝ่ายไทยทั้งหมด

แต่ในที่สุด ญี่ปุ่นก็ยอมให้ไทยนำผู้ต้องหาทั้งหมดขึ้นศาลไทยเพื่อยืนยันอธิปไตยของไทย

นอกจากนี้ ฝ่ายญี่ปุ่นยังเรียกร้องเงิน 80,000 บาทจากไทยเป็นค่าชดใช้แก่ครอบครัวทหารญี่ปุ่นที่เสียชีวิตไปอีกด้วย

นายพลนากามูระ และ จอมพล ป.พิบูลสงคราม

บทสรุปของความขัดแย้ง

เวลาผ่านไปราวครึ่งปีภายหลังจากวิกฤตการณ์บ้านโป่งแล้ว การพิจารณาคดีในศาลทหารไทยได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2486

ในที่สุดเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2486 ศาลทหารกรุงเทพมีคำตัดสินคดีของพระเพิ่มพร้อมกับกรรมกร 1 คน และพลทหาร 1 นาย ดังต่อไปนี้

พระเพิ่ม สิริพิบูล ผู้ที่ถูกทหารญี่ปุ่นตบหน้า 3 ที จนเป็นต้นเหตุของเรื่องนั้น จากการสอบสวนและทำคดีทำให้พระเพิ่มถูกจับสึก เขาถูกฟ้องในข้อหาความผิดที่ติดต่อกับเชลยศึกและยุยงกรรมกรไทยให้ต่อสู้กับทหารญี่ปุ่น แต่มีการบันทึกเพิ่มเติมข้อมูลว่า เขามีสติไม่ดี ไม่รู้หนังสือ ถูกตัดสินประหารชีวิต แต่ได้รับการลดหย่อนเหลือจำคุกตลอดชีวิต

สำหรับนายเปะ นุ่มชินวงส์ กรรมกรชาวไทยนั้นมีพฤติกรรมชักชวนกรรมกรคนอื่นๆ ให้จับอาวุธเข้ากลุ้มรุมทำร้ายทหารญี่ปุ่นจนถึงแก่ความตายและบาดเจ็บสาหัส จึงเป็นตัวการที่จับอาวุธเข้าทำร้ายทหารญี่ปุ่น การสอบสวนระบุเพิ่มเติมว่า นายเปะดื่มสุรามึนเมา และไร้การศึกษา ตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต

ส่วนพลทหารสุดจา โสมทัต เป็นพลทหาร มีความผิดฐานใช้ปืนสั้นยิงใส่ทหารญี่ปุ่นที่มาติดต่อกับเจ้าหน้าที่ตำรวจบนโรงพักบ้านโป่ง เพราะเพื่อนทหารที่หมอบอยู่ใกล้ถูกยิง เป็นการกระทำเฉพาะตัว แต่เป็นเหตุให้ตำรวจไทยกับทหารญี่ปุ่นเกิดความเข้าใจผิดจนยิงต่อสู้กัน เนื่องจากขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน ไม่อาจทราบได้ว่าปืนที่ยิงออกไปนั้นถูกใครบ้าง ศาลจึงตัดสินว่าทำการป้องกันตนเกินกว่าเหตุ ตัดสินจำคุก 10 ปี (ชาญวิทย์, 449-450)

นอกจากนี้ เหตุการณ์นี้ทำให้นายทหารและพลทหารญี่ปุ่นถึงแก่ความตายรวม 5 คน บาดเจ็บสาหัส 3 คน ส่วนฝ่ายไทยบาดเจ็บ 1 คน (โทชิฮารุ, 2539, 145-152)

นอกจากนี้ ฝ่ายญี่ปุ่นยังเรียกร้องเงิน 80,000 บาทจากฝ่ายไทยให้เป็นค่าชดใช้แก่ครอบครัวทหารญี่ปุ่นที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ ฝ่ายไทยยินดีชำระทำขวัญให้ทหารญี่ปุ่นที่เสียชีวิตตามคำขอมา แต่ด้วยฝ่ายญี่ปุ่นมีความพอใจในคำพิพากษาที่ปรากฏ ฝ่ายญี่ปุ่นจึงได้มอบเงินก้อนดังกล่าวคืนให้ฝ่ายไทยเพื่อให้ฝ่ายไทยนำไปช่วยเหลือครอบครัวพลเรือน ทหาร และตำรวจ ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกในวันที่ 8 ธันวาคม 2484 แทน

ดังนั้น วิกฤตการณ์บ้านโป่งทำให้ความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทย-ญี่ปุ่นเสื่อมทรามลงชั่วระยะเวลาหนึ่ง (ชาญวิทย์, 502-503; โทชิฮารุ, 2539, 151-152)

ทหารญี่ปุ่นกำลังเคลื่อนพล

เมื่อ พล.ท.อาเคโตะ นากามูระ ผู้เข้ามารับตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพญี่ปุ่นประจำประเทศไทยเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2486 ตามคำสั่งจากโตเกียวแล้ว ต่อมามีการตั้งกองทัพญี่ปุ่นประจำประเทศไทย (1 กุมภาพันธ์ 2486) ขึ้นเป็นการเฉพาะขึ้น

กองบัญชาการทหารญี่ปุ่นตั้งอยู่ที่อาคารหอการค้าจีนที่ถนนสาทร โดยอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของนายพลนากามูระ อันมีหน้าที่สำคัญคือ ป้องกันไทยซึ่งเป็นที่มั่นแนวหลังให้กับสมรภูมิพม่าและมลายู และหน้าที่ในการดูแลกองทัพญี่ปุ่นที่เดินทัพผ่านประเทศไทย

ทั้งนี้ หน้าที่หลักของกองทัพญี่ปุ่นประจำประเทศไทยมีลักษณะในการดูแลความสงบเรียบร้อยมากกว่าที่จะเป็นกองทัพเพื่อการสู้รบ

กล่าวให้ถึงที่สุดก็คือ การจัดตั้งกองทัพญี่ปุ่นประจำประเทศไทยก็เพื่อรักษาวินัยของทหารญี่ปุ่นให้บรรลุเจตนารมณ์ของสัญญาพันธไมตรีระหว่างประเทศทั้งสองนั่นเอง (โทชิฮารุ, 2550, 78)

นายพลนากามูระตรวจการสร้างทางรถไฟ

ฝ่ายไทยพยายามประนีประนอม

ภายหลังเหตุการณ์จบสิ้นลงแล้ว รัฐบาลได้โยกย้ายข้าราชการตำแหน่งสำคัญๆ ในจังหวัดและสรรหาข้าราชการชุดใหม่ที่เข้มแข็ง มีไหวพริบดี มีมนุษยสัมพันธ์ ประสานงานได้ดีมาปฏิบัติหน้าที่ในอำเภอบ้านโป่ง ด้วยเหตุนี้ นายพรหม สูตรสุคนธ์ จึงถูกย้ายจากตำแหน่งปลัดจังหวัดตรังลงมาเป็นนายอำเภอบ้านโป่งคนใหม่แทนนายแม้น อรจันทร์ เพื่อให้ข้าราชการไทยสามารถทำงานประสานงานกองทัพญี่ปุ่นได้

ในช่วงเวลานั้น กองทัพญี่ปุ่นกำลังเร่งสร้างทางรถไฟเพื่อลำเลียงทหารเข้าไปยังแนวรบในพม่า จึงมีเรื่องมาติดต่อกับหน่วยราชการที่บ้านโป่งบ่อยครั้ง ข้าราชการที่อำเภอบ้านโป่งต้องทำงานหนักมากเพื่อตอบสนองความต้องการของกองทัพญี่ปุ่นมากจนแทบไม่ได้ทำงานประจำของหน่วยงาน เพราะแต่ละวันจะมีทหารญี่ปุ่นเดินขึ้นติดต่ออำเภอพร้อมล่ามวันละ 7-8 ครั้ง

เช่น เรียกร้องให้ทางราชการเกณฑ์คนไทยมาเป็นกรรมกรรับจ้างสร้างค่ายพักทหาร การเกณฑ์ไม้ไผ่มาทำวัสดุก่อสร้าง เกณฑ์เรือยนต์มารับจ้างขนของให้ล่องขึ้นไปตามแม่น้ำไทรโยค เกณฑ์รถยนต์รับจ้างขนของให้ทหารญี่ปุ่น (อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นายพรหม สูตรสุคนธ์, 2436)

นายพรหม นายอำเภอคนใหม่พยายามประสานงานและชี้แจงให้ทหารญี่ปุ่นตระหนักในความเป็นพันธมิตรกันระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ภายหลังเหตุการณ์ ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับคนไทยทุกอย่าง ทหารญี่ปุ่นจะนำมาแจ้งให้นายอำเภอทราบตลอด ไม่ว่าจะเป็นกรรมกรทะเลาะกัน การขโมยของในค่ายทหาร รถไฟตกรางเพราะเด็กเอาก้อนหินไปวางที่รางรถไฟ ญี่ปุ่นก็กล่าวหาว่าคนไทยก่อวินาศกรรม ทำให้งานของนายอำเภอในครั้งนั้นเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย (นายพรหม สูตรสุคนธ์, 2536)

หอการค้าจีน ที่สาทร ในช่วงสงครามถูกยึดเป็นกองบัญชาการทหารญี่ปุ่นประจำไทย

โยชิกาวา โทชิฮารุ สรุปว่า “เหตุการณ์บ้านโป่งที่ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อความสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่น ก็ได้รับการแก้ไขให้ลุล่วงไปหลังจากพยายามมา 1 ปี สำหรับทหารญี่ปุ่นแล้ว เหตุการณ์บ้านโป่งอาจจะเป็นโอกาสหรือบทเรียนที่ช่วยให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่โอหังและหยิ่งยโสก็ได้ แต่สำหรับคนไทยแล้วได้ลิ้มรสพฤติกรรมที่หยิ่งยโสและความแข็งกร้าวของทหารญี่ปุ่นที่มาในมาดผู้ยึดครอง มีความไม่พอใจญี่ปุ่นซึ่งเป็นพันธมิตรของตน” (โทชิฮารุ, 2539, 152)

เรื่องราว “วิกฤตการณ์บ้านโป่ง” เป็นเหตุของการเผชิญหน้าระหว่างไทยกับญี่ปุ่นครั้งแรก ภายหลังที่ไทยยินยอมให้กองทัพญี่ปุ่นผ่านไปยังดินแดนอาณานิคมของอังกฤษ และการลงนามการเป็นพันธมิตรญี่ปุ่น-ไทยอันเป็นช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้นแห่งสงคราม ทำให้โตเกียววิตกใจในเหตุการณ์ดังกล่าวและหวังที่จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันราบรื่น

จึงส่งนายพลนากามูระมารักษาความสัมพันธ์ต่อกัน และรักษาไทยให้เป็นแนวหลังที่มีเสถียรภาพแก่กองทัพญี่ปุ่นต่อไป

รถไฟดีเซลลำเลียงยุทธปัจจัยและกรรมกรช่วงบ้านวังโพ และนายพรหม สูตรสุคนธ์ นายอำเภอบ้านโป่งคนใหม่
กรรมกรไทยสร้างค่ายที่พักให้ทหารญี่ปุ่น เครดิตภาพ : เพจทางรถไฟสายมรณะ

 

https://x.com/matichonweekly/status/1552197630306177024