ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24 - 30 พฤษภาคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | เทศมองไทย |
เผยแพร่ |
แอชลีย์ เซาธ์ นักวิจัยประจำศูนย์ศึกษาชาติพันธุ์และการพัฒนา ในสังกัดคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เขียนบทความแสดงความคิดเห็นที่น่าสนใจเอามากๆ ตีพิมพ์เผยแพร่ใน นิกเกอิ เอเชีย เมื่อ 20 พฤษภาคมที่ผ่านมา
ข้อเขียนของ ดร.เซาธ์ อยู่ในขอบเขตที่เขาชำนาญการ นั่นคือเรื่องของเมียนมา และบรรดาชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยต่างๆ ที่กำลังอยู่ระหว่าง “การเปลี่ยนผ่าน” ที่น่าสนใจยิ่งที่นั่น
เริ่มต้นด้วยการตั้งข้อสังเกตที่ว่า ในช่วงระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา กองกำลังติดอาวุธต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมา ยิ่งนับวันยิ่งสร้างปรากฏการณ์ได้เปรียบมากขึ้นเรื่อยๆ สามารถโจมตีและเข้าควบคุมฐานทัพของกองทัพทางการได้อย่างน้อย 400 ฐาน ควบคุมเมืองใหญ่น้อยทั่วประเทศได้ไม่น้อยกว่า 50 เมือง ภายใต้การรุกโจมตีสอดประสานกันตั้งแต่เหนือจรดใต้
ในห้วงเวลาเดียวกัน สภาเพื่อการปกครองแห่งรัฐ (เอสเอซี) ชื่อที่ระบอบการปกครองของทหารเมียนมาเรียกตัวเอง ก็ไม่สามารถ “ทำหน้าที่” ที่ควรทำอย่างมีประสิทธิภาพได้อีกต่อไป
มิน อ่อง ลาย ประธานเอสเอซี ไม่สามารถผ่านด่านทดสอบ “ความชอบธรรม” ที่สำคัญได้ เพราะไม่สามารถแม้แต่จะอำนวยให้หน้าที่ของผู้ปกครองอย่างการปกป้องและให้บริการพื้นฐานแก่ประชาชนพลเมืองได้
“สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา” ที่เราคุ้นเคยกำลังล่มสลาย ภายใต้การปรากฏขึ้นอย่างเข้มแข็งและมั่นคง เปี่ยมด้วยพลวัตของ “ผู้เล่น” อย่างองค์กรติดอาวุธของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ กับกองทัพเพื่อการปกป้องประชาชน (พีดีเอฟ) กองกำลังของคนรุ่นใหม่ที่ผงาดขึ้นมาหลังการรัฐประหาร
“นิว เบอร์มา” กำลังปรากฏชัดขึ้นทุกขณะภายใต้พลวัตเหล่านี้ ถูกรังสรรค์ขึ้นจากล่างสู่เบื้องบน จากรอบนอกสู่ศูนย์กลางภายใน พูดง่ายๆ ว่า ที่เมียนมา ป่ากำลังจะล้อมเมืองแล้ว
ความสำเร็จในช่วงที่ผ่านมาของ กองทัพอาระกัน (เอเอ) ของกลุ่มชาติพันธุ์อาระกัน, องค์การเพื่ออิสรภาพคะฉิน (เคไอโอ) ในรัฐฉาน, กองทัพปลดปล่อยแห่งชาติตาอั้ง (ทีเอ็นแอลเอ) ที่ตาอั้ง และ สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (เคเอ็นยู) กับกองกำลังกองทัพแห่งชาติกะเหรี่ยง คือหลักฐานที่บ่งชี้ความเป็นจริงดังกล่าวนี้
ประเด็นสำคัญที่ ดร.เซาธ์พยายามชี้ให้เห็นก็คือ ผู้คนเหล่านี้ ไม่เพียงยากที่จะยินยอมพร้อมใจยอมแพ้ ยอมยกเลิกความสำเร็จที่ได้มาอย่างยากลำบากยิ่งเหล่านี้เท่านั้น ยังเป็นกลุ่มคนที่ใส่ใจน้อยที่สุดต่อการฟื้นฟูระบอบการปกครองแบบสาธารณรัฐ ที่ตกทอดมาจากยุคสมบูรณาญาสิทธิราชต่อเนื่องมาจนถึงยุคอาณานิคมและยุคเผด็จการทหาร
ไม่ว่าอาระกัน ฉาน กะเหรี่ยง หรือมอญ ต่างล้วนมีอดีตอันขมขื่นจากการถูกกดขี่ ข่มเหง โดยรัฐบาลกลางในอดีตมาแล้วทั้งสิ้น
ภายใต้ข้อเท็จจริงนี้ เมียนมาใหม่จึงกำลังก่อรูปขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ชัดเจนและแน่วแน่อย่างยิ่ง
ในยุคอาณานิคม เสียงเพรียกหาอิสรภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ถูกเมินเฉย ความแตกต่าง หลากหลายถูกฝังกลบไว้ในนามของ “เอกภาพแห่งชาติ” ที่รัฐบาลกลางนิยมส่งเสริม กลุ่มชาติพันธุ์ถูกกลืนกิน ความทุกข์ยาก คับข้องใจถูกกระพือโหม ต่อเนื่องต่อมาอีกช้านาน
ถึงยุคร่วมสมัย เพื่อนบ้านอย่าง จีน อินเดีย และไทย หันมาให้การสนับสนุนรัฐบาลทหารที่เป็นรัฐบาลกลาง ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะหวั่นวิตกกับความโกลาหล ความปั่นป่วนของการอพยพที่การล่มสลายของอำนาจจากศูนย์กลางอาจนำพามาให้
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันหรือยิ่งกว่า เป็นเพราะความสัมพันธ์ส่วนตัวในเชิงเศรษฐกิจระหว่างผู้คนในแวดวงชั้นสูงของเพื่อนบ้านเหล่านั้นกับนายทหารในศูนย์กลางอำนาจของเมียนมา
กลุ่มชาติพันธุ์ต้องการอะไรนอกเหนือจากการปฏิเสธการรวมศูนย์?
พวกเขาต้องการอิสระ เสรี มีอำนาจในการตัดสินอนาคตของตนเอง นั่นคือความต้องการสูงสุด
แต่หากเป็นไปไม่ได้ อย่างน้อยที่สุด ก็ควรเป็นระบอบที่รองรับการปกครองตนเองในรัฐของแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ เชื่อมโยงกันหลวมๆ ในรูปของสหพันธรัฐ
ในความเห็นของ ดร.เซาธ์ ยิ่งสงครามกลางเมืองในเมียนมาดำเนินไปนานเท่าใด ความเป็นจริงของการล่มสลายของเมียนมาแต่เดิมก็ยิ่งแจ่มชัดมากขึ้นเท่านั้น และเช่นกัน การนำพาเมียนมากลับสู่สภาพเดิมก็ยิ่งนับวันหดเล็กลงและเล็กลงเรื่อยๆ
ไม่ว่าประเทศเพื่อนบ้านจะชอบหรือไม่ ไม่ว่ามหาอำนาจโลกจะยินดีหรือเปล่า ความเป็นจริงว่าด้วยเมียนมาใหม่ทั้งในทางการเมืองและในทางภูมิศาสตร์กำลังอุบัติขึ้นก็ดำเนินไปตามวิถี
ข้อสังเกตที่น่าสนใจยิ่งอีกประการก็คือ แม้แต่ในพื้นที่ที่มีชาวพม่าเป็นชนกลุ่มใหญ่ อย่างเช่น ภูมิภาคสะกาย หรือมะกเว (มะ-กะ-เว) ต่างล้วนเป็นพื้นที่ที่เป็นหัวหอกในการต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมาไปแล้วทั้งสิ้น
ดร.เซาธ์ถึงได้ฟันธงว่า “บรรดานักการทูตทั้งหลาย จำเป็นต้องเลิกคิด เลิกใช้ชีวิตที่ติดอยู่กับอดีตเสียทีได้แล้ว”
เขาชี้ให้เห็นว่า หลายความสำเร็จของกลุ่มชาติพันธุ์ ไม่อาจเกิดขึ้นได้หากไม่มีการสนับสนุน หรืออย่างน้อย “เปิดไฟเขียว” จากประเทศเพื่อนบ้านอย่างจีน
นั่นแสดงให้เห็นว่า ปักกิ่ง ไม่ได้ถือไพ่อยู่ใบเดียวอีกต่อไปแล้ว
ไทยก็ดี อินเดียก็ดี ได้ตระหนักหรือไม่ นานาชาติหรือโลกรับรู้หรือเปล่า ไม่สำคัญอีกต่อไป
เพียงแต่การไม่ยอมรับ การปิดหูปิดตาให้กับความเป็นจริงที่กำลังดำเนินไป รังแต่จะก่อให้เกิดความทุกข์ยากเดือดร้อนยืดเยื้อออกไปเท่านั้น
แต่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ในบั้นปลายได้อีกต่อไปแล้ว