ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24 - 30 พฤษภาคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | การเมืองวัฒนธรรม |
ผู้เขียน | เกษียร เตชะพีระ |
เผยแพร่ |
การเมืองวัฒนธรรม | เกษียร เตชะพีระ
รากเหง้าสภาอาชีพ (4)
ฐานคติของการเลือกตั้งวุฒิสภาแบบสภาอาชีพคือตัวแบบการแทนตนเชิงตัวแทน (the delegate model of representation)
ส่วนฐานคติของการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรแบบการเลือกตั้งทั่วไปของประชาชนคือตัวแบบการแทนตนเชิงผู้ได้รับมอบหมายความไว้วางใจให้จัดการดูแลแทน (the trustee model of representation)
“โดยคำว่า ‘ประชาชน’ หมายถึงพลเมืองทั้งมวลโดยองค์รวมผู้ทรงสิทธิ์ที่จะตัดสินใจรวมหมู่ในท้ายที่สุด” (นอแบร์โต บ๊อบบิโอ, เสรีนิยมกับประชาธิปไตย, ต้นฉบับภาษาอิตาเลียนพิมพ์ปี 1988, บทที่ 6 “ความคิดเรื่อง ประชาธิปไตยแบบโบราณกับสมัยใหม่”, น. 37, 42 เป็นต้นไป)

ในประวัติการคลี่คลายขยายตัวของระบอบประชาธิปไตยตะวันตก การเลือกตั้งกลายเป็นประเด็นปัญหาขึ้นมาเมื่อเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ (หลังสิ้นสุดยุคกลางของยุโรปราวคริสต์ศักราช 1500) เนื่องด้วยขนาดของรัฐสมัยใหม่ใหญ่โต กว้างขวางขึ้น ไม่ได้เป็นแค่นครรัฐ (city-state) เหมือนสมัยกรีกโบราณ ทำให้ไม่อาจปฏิบัติประชาธิปไตยทางตรง (direct democracy) ได้เหมือนประชาธิปไตยแบบโบราณอีกต่อไป
ฉะนั้น ถึงแม้ประชาธิปไตยสมัยใหม่ยังคงหลักการที่ว่าประชาชนมีสิทธิ์ได้มาซึ่งอำนาจการเมืองไว้สืบต่อไป เหมือนประชาธิปไตยแบบโบราณ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือวิธีการที่ประชาชนใช้อำนาจทางการเมืองของตน จากที่ประชาชนเคยใช้เองโดยตรงแบบกรีกโบราณมาเป็น -> ใช้ผ่านการแทนตน (representation) โดยผู้แทนจากการเลือกตั้ง
ในทางปฏิบัติและวิธีคิดที่กำกับ มีตัวแบบการแทนตน 2 แบบที่คลี่คลายขยายตัวมาในประวัติศาสตร์ตะวันตก
1) ตัวแบบการแทนตนเชิงตัวแทน (the delegate model of representation)
คลี่คลายขยายตัวมาจากรูปแบบการขึ้นต่อพึ่งพาแห่งสังคมฐานันดรวรรณะแต่เก่าก่อน ที่บรรดากลุ่ม, บรรษัท และองค์กรรวมหมู่ต่างๆ พากันใช้ตัวแทนของตนเป็นสื่อส่งผ่านความเรียกร้องต้องการเฉพาะของตนเองไปยังองค์อธิปัตย์ (ในยุคนั้นคือกษัตริย์)
การแทนตนแบบบรรษัทเช่นนี้ผูกมัดตัวแทนที่ได้รับเลือกตั้งไว้กับกลุ่ม, บรรษัท และองค์คณะผู้เลือกตั้งเขาขึ้นมา โดยถือว่าตัวแทนมีอาณัติผูกมัดซึ่งบังคับเขาในทางสถาบันให้ส่งเสริมผลประโยชน์ของบรรษัทที่ตนเป็นตัวแทน เขาจึงต้องประพฤติปฏิบัติตัวเป็นตัวแทนที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้ของบรรดาผู้ออกเสียงเลือกตั้งที่ส่งเขาไปอยู่ในรัฐสภา
หากแม้นตัวแทนแสดงอาการอิดเอื้อนบ่ายเบี่ยงที่จะทำตามอาณัตินั้นใดๆ ออกมาแล้ว เขาก็จะถูกถอดถอนสิทธิในฐานะตัวแทนผู้ได้รับเลือกตั้งไป (recall) โดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่เลือกตั้งเขาเข้ามาแต่แรกนั่นเอง
2) ตัวแบบการแทนตนเชิงผู้ได้รับมอบหมายความไว้วางใจให้จัดการดูแลแทน (the trustee model of representation)
ถือว่าผู้ได้รับเลือกตั้งทั่วไปจากประชาชนต้องประพฤติปฏิบัติตัวเป็นผู้แทนของชาติทั้งหมดโดยรวม โดยมิอาจถูกผูกมัดด้วยเจตจำนงของคณะผู้ออกเสียงเลือกตั้งเฉพาะกลุ่มเฉพาะที่อีกต่อไป พวกเขาจึงมีอิสระที่จะลงมติ ตัดสินใจประเด็นปัญหาต่างๆ ด้วยดุลพินิจของตนตามที่ได้รับมอบหมายความไว้วางใจมา
ทั้งนี้ ด้วยความเชื่อว่าผู้แทนจากการเลือกตั้งของพลเมือง อันเป็นคนจำนวนน้อยที่ผ่านการพิสูจน์แล้วว่ามีปรีชาญาณนั้น จะสามารถวินิจฉัยผลประโยชน์ส่วนรวมได้ดีกว่าตัวพลเมืองเองที่อาจมีวิสัยทัศน์จดจ่ออยู่แต่กับผลประโยชน์เฉพาะของตนอย่างคับแคบเกินไป จึงควรที่จะฝากฝังผลประโยชน์ที่แท้จริงของชาติไว้กับเหล่าผู้แทนซึ่งน่าจะเสียสละมันเพื่อเห็นแก่เรื่องชั่วคราวหรือเฉพาะส่วนน้อยที่สุด
เพื่อการนี้จึงมีการกำหนดข้อผูกมัดไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับต่างๆ อย่างเป็นทางการให้แยกผู้แทนออกจากบรรดาผู้ที่ถูกแทนตน ห้ามไม่ให้มีอาณัติผูกมัดใดๆ ระหว่างสองฝ่ายนั้น ไม่ว่าจะในแง่อาณัติจากพื้นที่จังหวัดหรืออาณัติจากบรรดาผู้เลือกตั้งพวกเขามา
การปะทะกันขั้นดุเดือดแตกหักระหว่างตัวแบบการแทนตนทั้งสอง (delegate vs. trustee) แสดงออกเป็นรูปธรรมในประวัติศาสตร์การปฏิวัติประชาธิปไตยฝรั่งเศสปี 1789 ในเหตุการณ์ที่เรียกว่า คำปฏิญาณสนามเทนนิส (Le Serment de Jeu de paume) ของเหล่าสมาชิกฐานันดรที่สาม เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 1789 (https://www.chateauversailles.fr/decouvrir/histoire/les-grandes-dates/serment-jeu-paume#lacte-fondateur-de-la-democratie-franaise)
เดิมทีสังคมฝรั่งเศสนอกเหนือจากสถาบันกษัตริย์แล้ว ก็แบ่งออกเป็น 3 ฐานันดร (estates) อันได้แก่ บรรดานักบวชในคริสต์ศาสนาเป็นฐานันดรที่ 1, พวกขุนนางอภิชนเป็นฐานันดรที่ 2, ส่วนคนส่วนใหญ่ที่เหลือคือสามัญชนซึ่งมีตั้งแต่พ่อค้าม้าขายมั่งคั่งในเมืองไปจนถึงเกษตรกรยากไร้ในชนบทเป็นฐานันดรที่ 3
โดยมีสมัชชานิติบัญญัติเรียกว่า Estates-General อันเป็นที่ประชุมรวมของตัวแทนจากทั้ง 3 ฐานันดร ซึ่งเลือกตั้งแยกจากกันแต่ละฐานันดรเข้ามาตามตัวแบบการแทนตนเชิงตัวแทน (the delegate model of representation) คอยถวายคำปรึกษาในการออกพระราชบัญญัติต่างๆ แก่กษัตริย์ฝรั่งเศส
ทว่า สมัชชานิติบัญญัติ Estates-General ซึ่งประชุมกันมาในประวัติศาสตร์กลับไม่ได้ถูกกษัตริย์เรียกประชุมอีกนับแต่ปี 1614 ในรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่สิบสามอันเป็นการประชุมสมัชชาฯ ครั้งสุดท้าย กษัตริย์ฝรั่งเศสนับแต่นั้นหันมาใช้พระราชอำนาจเด็ดขาดรวมศูนย์แทนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่ผู้มีพระสมัญญานามว่าพระเจ้าหลุยส์มหาราชหรือสุริยวรมัน (Louis le Grand หรือ le Roi Soleil) อันกลายเป็นต้นแบบของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (absolute monarchy)
จวบจนกระทั่งร้อยกว่าปีให้หลัง ในรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่สิบหก ได้เกิดวิกฤตการคลังและการเกษตรอย่างหนักหน่วง เพื่อหาทางออก พระองค์จึงได้เรียกประชุมสมัชชา Estates-General ขึ้นอีกเมื่อเดือนพฤษภาคมปี 1789 ณ พระราชวังแวร์ซายส์
ในที่ประชุมสมัชชาฯ เหล่าตัวแทนได้ประมวลข้อเสนอการปฏิรูปทางการเมืองและสังคมอย่างกว้างขวาง ครอบคลุมออกมาเป็นบัญชียาวเหยียด ทว่า มาติดขัดเถียงกันไม่ตกฟากเรื่องประเด็นการแทนตน (representation) กล่าวคือ สมัชชาฯ จะลงคะแนนเสียงเพื่อให้ได้มติต่างๆ ในการปฏิรูปแบบรายฐานันดรหรือรายหัวดี
พวกตัวแทนสามัญชนแห่งฐานันดรที่ 3 อยากให้สมัชชาฯ โหวตร่วมกันแบบรายหัว เพราะพวกตนจะได้เปรียบเนื่องจากมีจำนวนมากกว่าตัวแทนของนักบวชกับขุนนางในอีกสองฐานันดรรวมกันเสียอีกมากมายเหลือแหล่
ทว่า พวกตัวแทนนักบวชและขุนนางแห่งฐานันดรที่ 1 และ 2 อยากให้สมัชชาฯ โหวตแยกกันแบบรายฐานันดร ซึ่งจะเปิดช่องให้มติใดๆ ของสมัชชาฯ ต้องผ่านความเห็นชอบจากเสียงโหวตของแต่ละฐานันดรแยกจากกัน ทั้งสามฐานันดร (หรืออย่างน้อยก็ต้องผ่านความเห็นชอบจากเสียงโหวตของสอง “สภา” ย่อย หากตัวแทนฐานันดรที่ 1 กับที่ 2 แยกตัวออกไปประชุมเป็น “สภา” ต่างหากจาก “สภา” สามัญชนของฐานันดรที่ 3)
หากโหวตแยกกันแบบรายฐานันดรแล้ว นั่นเท่ากับว่าตัวแทนนักบวชและขุนนางแห่งฐานันดรที่ 1 และที่ 2 ย่อมมีอำนาจยับยั้ง (veto) ข้อเสนอใดๆ ในการปฏิรูปซึ่งเป็นที่ขานรับสนับสนุนของตัวแทนสามัญชนแห่งฐานันดรที่ 3 แต่ไปคุกคามบั่นทอนอภิสิทธิ์ที่พวกนักบวชและขุนนางเคยมีเคยได้มา
การประชุมสมัชชา Estates-General ติดแหง็กจมปลักไม่สามารถเดินหน้าไปลงมติปฏิรูปอะไรได้เนื่องจากประเด็นปัญหาการแทนตนดังกล่าว แต่แล้วเช้าวันที่ 20 มิถุนายน 1789 พวกตัวแทนสามัญชนแห่งฐานันดรที่ 3 ก็ต้องตื่นตกใจเมื่อมาถึงห้องประชุมสมัชชาฯ ตามปกติที่ชื่อ Salle des Menus-Plaisir แต่กลับพบว่ามันถูกปิดประตูลงกลอนและมีทหารยามเฝ้าขวางกั้นอยู่
บรรดาตัวแทนสามัญชนแห่งฐานันดรที่ 3 ทั้งสิ้น 577 คนพากันหวาดวิตกว่าสถานการณ์อาจเลวร้ายถึงขีดสุด และพระเจ้าหลุยส์ที่สิบหกอาจไม่พอพระทัยข้อเสนอปฏิรูปทั้งหลายและความติดขัดล่าช้าของการประชุมจึงทรงเตรียมส่งกำลังเข้าจู่โจมสมัชชาฯ พวกเขาจึงไปรวมตัวกัน ณ สนามเทนนิสในร่มของเอกชนใกล้พระราชวังแวร์ซายส์ และยกร่างคำปฏิญาณรวมหมู่ของตนขึ้นอันมีใจความสำคัญว่า :
“เราขอสาบานว่าจะไม่มีวันแยกจากกันและจะประชุมกัน ณ ที่ใดก็ตามแล้วแต่สภาพการณ์จะเรียกร้อง จนกว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรจะถูกสถาปนาขึ้นและตั้งอยู่บนรากฐานอันเป็นปึกแผ่นมั่นคง”
คําปฏิญาณสนามเทนนิสอันเป็นการลงหลักปักฐานให้แก่อำนาจปฐมสถาปนา (le pouvoir constituant originaire หรือนัยหนึ่งอำนาจสถาปนารัฐใหม่หรือก่อตั้งระเบียบการเมืองใหม่ขึ้นมาแต่เริ่มแรก ดู https://www.jurixio.fr/pouvoir-constituant-originaire-definition/) ของผู้แทนประชาชนพลเมืองในการปฏิวัติฝรั่งเศสนี้ถือเป็นปฏิบัติการก่อตั้งระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ของชาติ ฝรั่งเศสขึ้นมา
มีตัวแทนสามัญชนแห่งฐานันดรที่ 3 ทั้งสิ้น 576 คนร่วมลงนามในเอกสารคำปฏิญาณฯ นี้ ยกเว้นตัวแทนคนเดียวคือ โจเซฟ มาร์แตง-โดช ผู้ยืนกรานว่าเขาจะปฏิบัติตามเฉพาะการตัดสินพระทัยโดยกษัตริย์เท่านั้น
และถึงแม้วันถัดไปหลังจากนั้นสนามเทนนิสดังกล่าวจะถูกเคานต์อาร์ตัวส์ พระอนุชาของพระเจ้าหลุยส์ที่สิบหกชิงตัดหน้าเช่าต่อจากเอกชนไปเพื่อกีดกันไม่ให้สมัชชาตัวแทนสามัญชนแห่งฐานันดรที่ 3 ได้ประชุมกันอีก แต่สมัชชาฯ ก็ย้ายไปประชุมที่พระวิหารแวร์ซายส์กันต่อแทน
(อ่านนัยสำคัญทางประวัติศาสตร์ของคำปฏิญาณสนามเทนนิสต่อการเลือกตั้งและประชาธิปไตยต่อสัปดาห์หน้า)
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022