ขอแสดงความนับถือ

ขอแสดงความนับถือ

 

มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับนี้ วางแผง 17 พฤษภาคม 2567

เมื่อกล่าวถึง 17 พฤษภาคม แล้ว

คงต้องย้อนกลับไป

เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 17 พฤษภาคม 2535

หนึ่งในเหตุการณ์นองเลือดครั้งสำคัญของประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองไทย

โดยระหว่างวันที่ 17-20 พฤษภาคม 2535 รัฐบาล พล.อ.สุจินดา คราประยูร ที่มีหน่อเชื้อไข จากคณะรัฐประหาร “คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.)

สั่งปราบปรามประชาชน ที่คัดค้าน การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.สุจินดา

4 วัน 4 คืน ที่มีการต่อสู้ปะทะกันอย่างยืดเยื้อยาวนาน ทำให้ ประชาชนได้รับบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก

ที่สุด 24 พฤษภาคม 2535 พล.อ.สุจินดา ลาออก

มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี

ท่ามกลางความคาดหวัง ประเทศไทยจะหวนคืนสู่ประชาธิปไตย

ไม่มีรัฐประหารเกิดขึ้นอีก

 

แต่ ในความเป็นจริง หาเป็นเช่นนั้นไม่

เรากลับเผชิญการรัฐประหารอีกถึง 2 ครั้ง

คือ 19 กันยายน 2549 โดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน

และวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ซึ่งวันนี้แม้ผ่านมา 1 ทศวรรษแล้ว

แต่ “พิษตกค้าง” จากการรัฐประหารก็ยังคงอยู่

แน่นอน รวมถึง 250 วุฒิสมาชิก ที่หมดวาระลง ในเดือนพฤษภาคมนี้

อย่างไรก็ตาม เราก็คงไม่อาจคาดหวังว่า 200 วุฒิสมาชิกที่มาใหม่

จะเป็นประชาธิปไตยอย่างที่ควรเป็นหรือไม่

ด้วยคณะรัฐประหารได้ออกแบบผ่านรัฐธรรมนูญ อย่างแยบยล

จนเราอาจ “ติดหล่ม” การไม่เป็นประชาธิปไตย อีกต่อไป

 

เมื่อกล่าวถึง ส.ว.ที่มีต้นน้ำจากรัฐประหาร 2557

มุกดา สุวรรณชาติ แห่งคอลัมน์ “หลักศิลากลางน้ำเชี่ยว” ใน มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับนี้

ได้กล่าวถึงบทบาทของ ส.ว.ในยามบ้านเมืองวิกฤต

โดยย้อนกลับไปเมื่อ 14 ปีที่แล้ว ในห้วงการล้อมปราบคนเสื้อแดงกลางกรุง เมษายน-พฤษภาคม 2553

หาก 5 ส.ว.ที่ได้รับมอบหมายจากประธานวุฒิสภา ประสบความสำเร็จ

คนเสื้อแดงที่ไม่ยอมรับรัฐบาลที่มาจากตุลาการภิวัฒน์ และเรียกร้องให้นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภาเลือกตั้งใหม่

คงไม่ถูกปราบด้วยอาวุธสงครามตายไปร่วมร้อย บาดเจ็บนับพัน ติดคุกอีกจำนวนหนึ่ง

การปะทะที่เริ่มตั้งแต่ 10 เมษายน 2553 และต่อเนื่องจนถึงช่วงท้าย ส.ว.กลุ่มดังกล่าว เข้ามาเป็นตัวประสานและพยายามเจรจา

จน ส.ว. ชุดดังกล่าวบรรลุข้อตกลงกับแกนนำกลุ่ม นปช. ที่จะยุติการเผชิญหน้าและเข้าสู่กระบวนการเจรจา

และได้โทรศัพท์รายงานผลการหารือต่อประธานวุฒิสภาเพื่อเร่งประสานกับนายกรัฐมนตรีให้รับทราบผลการเจรจาโดยเร็วต่อไป

ซึ่งประธานวุฒิสภาก็ได้โทรศัพท์ถึงนายกรัฐมนตรีในทันที เพื่อแจ้งผลการหารือ แกนนำ นปช.ยินดีกลับเข้าสู่การเจรจากับรัฐบาลอีกครั้งหนึ่ง โดยมีวุฒิสภาเป็นคนกลาง

นายกรัฐมนตรีขณะนั้นรับทราบ

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 มิได้เป็นไปตามที่หลายๆ คนคาดหวัง

รัฐบาลตัดสินใจใช้อาวุธหนักพร้อมยุทโธปกรณ์ที่ใช้ในการรบอย่างเต็มรูปแบบ

เคลื่อนพลเข้าปราบปรามประชาชนเยี่ยงข้าศึก

กลายเป็นการนองเลือดอีกครั้งของสังคมไทย

 

การสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงตลอด 2 เดือนนั้น

มีการระดมกำลังทหารถึง 67,000 นาย

ใช้กระสุนจริงไปกว่า 110,000 นัด

กระสุนสไนเปอร์อีกกว่า 2,000 นัด

มีผู้เสียชีวิต 99 คน และบาดเจ็บเป็นพันคน

เรื่องที่น่าอับอายคือ หลังจากการชุมนุมยุติ ยังมีการไปยิงประชาชน พยาบาลอาสา และอาสากู้ชีพ มือเปล่า ตายไป 6 คนในเขต “อภัยทาน” ของวัดปทุมวนารามในช่วงบ่ายวันที่ 19 พฤษภาคม

น่าเสียดาย ส.ว.แทนที่จะได้รับโบแดง ในฐานะ “ตัวกลางยุติความรุนแรง”

แต่กลับเป็นโบที่เปื้อนเลือดสีแดงแทน

เราจึงเหลือความทรงจำดีๆ กับ ส.ว.จาก คสช.ไม่มากนัก

และนี่จึงเป็นสิ่งที่ “มุกดา สุวรรณชาติ” เรียกร้องในท้ายบทความถึงการเลือก 200 ส.ว.ที่กำลังจะเกิดขึ้น

“อยากได้ ส.ว.คุณภาพ รับใช้ประชาชน ต้องชวนกันไปสมัคร” •