กินอาหารแบบ ‘มนุษย์ถ้ำ’ ดีต่อสุขภาพจริงหรือ?

ดร.จักรกฤษณ์ สิริริน

British Dietetic Association (BDA) หรือ “สมาคมควบคุมอาหารแห่งสหราชอาณาจักร” ที่สมาชิกประกอบด้วยนักโภชนาการทั่วโลกกว่า 7,500 คน

ได้เคยออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ปี ค.ศ.2514 ว่า “อาหารมนุษย์ถ้ำ” หรือ Paleo Diet (แนวทางการรับประทานอาหารตามแบบฉบับมนุษย์ยุคหิน) ถือเป็น 1 ใน 5 “อาหารยอดแย่”

“หากคุณตัดนม และผลิตภัณฑ์จากนมออกไปจากมื้ออาหาร โดยไม่มีการทดแทนที่ถูกต้อง คุณก็อาจจะพบปัญหาเกี่ยวกับความแข็งแรงของกระดูก” โฆษก BDA กระชุ่น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กในวัยกำลังเจริญเติบโต เพราะจะขาด “แคลเซียม” รวมถึงธาตุอาหารอื่นๆ อีกหลายชนิด โฆษก BDA ระบุ

 

แม้คำว่า Paleo Diet จะไม่ใช่ศัพท์ใหม่ของใครหลายคน แต่สำหรับผู้คนในวงกว้างแล้ว หลายท่านอาจเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก

Paleo Diet หรือ “อาหารมนุษย์ถ้ำ” เป็นวิธีรับประทานอาหารแบบฉบับ “มนุษย์ยุคหิน” ซึ่งคาดว่าน่าจะอยู่ในช่วงประมาณ 10,000 ปีที่แล้ว

เมนู Paleo Diet ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ไม่ก็ปลา รวมถึงผัก และผลไม้ต่างๆ ที่ “มนุษย์ถ้ำ” สามารถหาได้ง่าย

พูดอีกแบบก็คือ Paleo Diet เป็นเรื่องเฉพาะทางของ “มนุษย์ยุคหิน” ที่ “มนุษย์ยุค 5 G” เอามาปัดฝุ่น เพื่อประโยชน์โภชผลในยุคปัจจุบัน

จุดประสงค์ก็คือ เป็นการย้อนยุค รูปแบบการอยู่การกิน ให้กลับไปเหมือน “มนุษย์ยุคแรก” ที่คนในยุคปัจจุบันคิดเอาเองว่า ร่างกายคนเราไม่เหมาะกับการกิน “อาหารสมัยใหม่”

เพราะเป็นที่ทราบกันดี ว่าอาหารการกินทุกวันนี้ ล้วนเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ นานาตามมาอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรคอ้วน เบาหวาน ความดันสูง หรือโรคหัวใจ

อ่านมาถึงตรงนี้ เชื่อว่าแฟนพันธุ์แท้ “มติชนสุดสัปดาห์” หลายท่านคงนึกถึงคำว่า Raw Food

เพราะเมนู Raw Food หลายอย่างมีความคล้ายคลึงกับ Paleo Diet เช่น ปลาดิบ ผัก และผลไม้ แต่ Raw Food จะเน้นอาการที่ไม่ผ่านความร้อน

เช่น ผักผลไม้กินสด สลัดผักผลไม้ น้ำผักผลไม้คั้นสด ไปจนถึงยำผักผลไม้สด

ศาสตราจารย์ ดร. Loren Cordain นักวิทยาศาสตร์สุขภาพและการออกกำลังกายแห่งมหาวิทยาลัย Colorado State บอกว่า สาเหตุหนึ่งซึ่งทำให้คนทุกวันนี้อ้วนง่ายก็คือ ปัญหาเกี่ยวกับการปรับสภาพร่างกายให้เข้ากับอาหารสมัยใหม่

“หากคุณปรับพฤติกรรมการกินได้ สุขภาพของคุณก็จะดีขึ้น ไล่ตั้งแต่ระบบภูมิคุ้มกัน ไปจนถึงสภาวะระดับไขมัน และน้ำตาลในเลือด ความเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือมะเร็งก็จะลดลงตามไปด้วย” ศาสตราจารย์ ดร. Loren Cordain กล่าว และว่า

อาหารแปรรูปทั้งหลายคือปัญหาอย่างแท้จริง นั่นคือต้นกำเนิดของการขุด “ตำราอาหารฉบับมนุษย์ถ้ำ” มาประยุกต์ใช้ในปัจจุบัน ศาสตราจารย์ ดร. Loren Cordain สรุป

 

จาก “ตำราอาหารฉบับมนุษย์ถ้ำ” ในอดีต ได้กลายมาเป็น “ประเภทอาหาร” แบบใหม่ชนิดหนึ่ง เรียกว่า “อาหารแนวพาลีโอ” หรือชื่อเต็มๆ ก็คือ Autoimmune Paleo Diet (AIP)

AIP เป็นรูปแบบการกินอาหารเพื่อต้านการอักเสบ โดยใช้แนวทางการหาอยู่หากินแบบ “มนุษย์ถ้ำ” ที่มี Main Dishes คือเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน เน้นสัตว์ที่กินหญ้าเป็นหลัก หรือสัตว์โตมาด้วยการกินอาหารไขมันต่ำนั่นเอง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งผักสด และผลไม้สดที่ไม่ผ่านการแปรรูป น้ำมันพืชที่มี “ไขมันดี” อาทิ น้ำมันมะกอก น้ำมันมะพร้าว น้ำมันอะโวคาโด

กฎเกณฑ์เคร่งครัดของ AIP ก็คือ การไม่บริโภคพืชตระกูลถั่ว และธัญพืช โดยเฉพาะอย่างยิ่ง น้ำตาล AIP จึงมีประโยชน์ต่อร่างกายหลายด้านด้วยกัน

ไม่ว่าจะเป็นการช่วยลดน้ำหนัก เพราะ AIP เป็นอาหารที่มีน้ำตาล และคาร์โบไฮเดรตต่ำ ที่ผ่านการปรุงแต่งน้อย ไม่ขัดสี และไม่ใช่อาหารที่ผลิตจากโรงงานเช่นเดียวกับ Raw Food

ซึ่งแน่นอนว่า จะมีผลทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาล และคาร์โบไฮเดรตน้อยลงไปด้วยโดยปริยาย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง AIP เน้น Main Course เป็น “โปรตีน” ที่ส่งผลโดยตรงต่อร่างกายในการสร้างกล้ามเนื้อ ยิ่งหากมาพร้อมกับวินัยในการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอกจากกล้ามเนื้อจะขึ้นดีแล้ว น้ำหนักก็จะลดลงเร็วขึ้นอีกด้วย

นอกจากการช่วยลดน้ำหนัก AIP ยังลดการสะสมของสารพิษ เนื่องจาก AIP เน้นวัตถุดิบที่ส่งตรงจากธรรมชาติ ทำให้โอกาสที่จะปนเปื้อนสารพิษ สารกันบูด หรือผงชูรส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกลือ น้อยลงตามไป

ประโยชน์ข้อสุดท้ายของ AIP ก็คือ ช่วยบำรุงรักษาระบบย่อยอาหาร และระบบขับถ่าย สาเหตุหลักก็คือ AIP เน้นกินผัก และผลไม้ จึงช่วยทำให้ระบบย่อยอาหาร และระบบขับถ่ายดีขึ้นอย่างชัดเจนนั่นเอง

 

ในช่วงที่ผ่านมา มีการเปรียบเทียบ การกิน “อาหารมนุษย์ถ้ำ” กับการรับประทานอาหารชนิดอื่นๆ เช่น “อาหารนอร์ดิก” หรือ Nordic Diet

ซึ่งหมายถึง วัฒนธรรมการบริโภคอาหารของประเทศใน “กลุ่มนอร์ดิก” ได้แก่ นอร์เวย์ เดนมาร์ก สวีเดน ฟินแลนด์ และไอซ์แลนด์ ที่ว่ากันว่า ช่วยป้องกัน “โรคหัวใจ”

อาหารแบบเมดิเตอเรเนียน ที่ช่วยกับชาวกรีกและโรมันในอดีตหุ่นเฟิร์ม อาหารประเภทผัก และผลไม้ อาหารสำหรับคนเป็นเบาหวาน หรือเมนูเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ธัญพืช และนมไขมันต่ำ เป็นต้น

ข้อมูลจากการศึกษาจำนวนมาก พบว่า การกิน “อาหารมนุษย์ถ้ำ” มีประโยชน์ต่อร่างกาย นอกจากจะช่วยในเรื่องการควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพแล้ว

ยังพบประโยชน์ด้านอื่นๆ อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นช่วยควบคุมระดับความดันโลหิต ช่วยให้ระดับน้ำตาลในการทดสอบความทนต่อกลูโคสดีขึ้น ลดระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือด และลดความอยากอาหาร เป็นต้น

 

อย่างไรก็ตาม เคยมีการตั้งคำถาม ว่าการกิน “อาหารมนุษย์ถ้ำ” นั้น สัมพันธ์กับ “การมีอายุยืน” หรือไม่?

โดยใช้ช่วงอายุของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่กินเนื้อสัตว์เป็นหลัก นั่นคือชาว Inuit ที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของแคนาดา ไปจนถึงไซบีเรีย อาลาสกา และกรีนแลนด์ เป็นเกณฑ์ตั้งต้น

ซึ่งพบว่า ชาว Inuit ที่บริโภคเนื้อปลา และเนื้อแมวน้ำเป็นหลักนั้น “ไม่ป่วยเลย” แต่ก็มีการโต้แย้งว่า สาเหตุที่ชาว Inuit ไม่ป่วย เป็นเพราะอายุสั้น หมายถึงตายก่อนป่วย

สำหรับเราๆ ท่านๆ การปรุง “อาหารมนุษย์ถ้ำ” กินเองนั้น อาจต้องใช้ความพิถีพิถันมากหน่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขั้นตอนการเลือกวัตถุดิบ อีกทั้งผัก ผลไม้ หรือเนื้อสัตว์ที่ติด “ฉลากออร์แกนิก” มีราคาที่สูงกว่าวัตถุดิบทั่วไป

และคงเป็นเรื่องยุ่งยากในชีวิตมาก หากออกไปรับประทานอาหารนอกบ้าน แล้วต้องคอยถามพนักงานเสิร์ฟ หรือพ่อครัว ว่าใช้น้ำมันอะไรในการประกอบอาหาร หรือเนื้อสัตว์ที่ใช้ผ่านการเลี้ยงแบบไหนมา มีส่วนผสมของอาหารกระป๋อง หรืออาหารแปรรูปหรือไม่

นอกจากนี้ การรับประทานที่ปรุงจาก “ตำราอาหารฉบับมนุษย์ถ้ำ” หรือ Autoimmune Paleo Diet อาจทำให้ไม่ได้รับสารอาหารครบถ้วนทั้ง 5 หมู่ ตามที่ร่างกายต้องการ

จึงอาจต้องรับประทานอาหารเสริม ซึ่งสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากขึ้นไปอีก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันยังไม่พบหลักฐานใดๆ ที่บ่งบอกว่า “มนุษย์ยุคหิน” มีสุขภาพดีกว่า “มนุษย์ยุคปัจจุบัน”

เพราะในความเป็นจริงแล้ว “มนุษย์ยุคหิน” อาจมีอายุขัยน้อยกว่า “มนุษย์ยุคปัจจุบัน” ด้วยซ้ำไป

ดังนั้น จึงควรใช้วิจารณญาณในการเลือกรับประทานอาหารแต่ละประเภทอยู่เสมอ เพื่อสุขภาพที่ดีของเรานั่นเอง