เรื่องสั้น : ความเจ็บปวดของใครของมัน (จบ)

ย้อนอ่าน ความเจ็บปวดของใครของมัน (1)

จ้องมองโทรศัพท์บนโต๊ะ มือสั่นระริก มองแก้วกาแฟสลับกระบอกน้ำประจำตัว ก่อนกดหมายเลขส่งออกไป

ดนตรีบลูส์โหยไห้ออกมาจากร้าน ชายกลางคนต่างชาติฉายเดี่ยว บนพื้นยกสูงจากพื้นร้านเล็กน้อยที่แบ่งเป็นส่วนนักดนตรี เขากำลังเล่นเพลง Another Night to Cry ทรมานเหลือทนกับเสียงที่สะบัดดิ้นจากกีตาร์ เราอยู่ริมถนนสามเสนช่วงตีนสะพานข้ามคลองโอ่งอ่าง ก่อนนั้นชวนกันเดินเลาะเล่นริมเจ้าพระยา ไฟจากเรือสำราญวิบวาบสว่างกลางลำน้ำ เดินผ่านสวนสันติไชยปราการ ผ่านริมถนนจนมาถึงที่นี่ ร้านประจำของเธอ ตึกแถวยุคสองพันห้าร้อย แคบเล็กตื้น ข้างในอัดแน่นด้วยชาวต่างชาติ เราเลือกโต๊ะขนาดเล็กหน้าร้าน ตอนที่รถแล่นผ่านลมกระโชกใส่ใบหน้า เหมือนว่ากระทะล้อรถยนต์จะเฉียดจมูกผมไป

นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่เห็นบาร์เหล้ามีคนเล่นดนตรีจริงๆ เหมือนพบเจออดีตวัยเยาว์ รู้สึกสดชื่น

ผมจ้องมองโทรศัพท์ของสาวพนักงานธนาคารบนโต๊ะเมื่อบ่ายตอนเราดื่มกาแฟกัน กดส่งหมายเลขตัวเองออกไป เป็นเบอร์เฉพาะที่ไว้ติดต่อธุระในเมืองหลวงเท่านั้น และไม่คิดว่าเธอจะโทร.มา

สุดใจมีอาชีพการงานที่ดี อย่างน้อยก็ในสายตาผม ไม่มีความจำเป็นต้องเอาตัวเองมายุ่งในเรื่องแบบนี้ ผมอยากร้องขอให้เธอเลิกยุ่ง

แต่เราทุกคนล้วนมีเหตุผลสักอย่างเพื่อการกระทำ

ผมถามเหตุผลที่เธอมาเป็นหนึ่งในโครงข่ายอีกครั้ง พนักงานธนาคารสาวคลี่ยิ้มคุ้นเคย

“เอาเรื่องจริงหรือโกหกคะ” เพลงต่อมาจากด้านในร้านชวนให้ขยับขา เธอมีสองตัวเลือกที่อยากตอบ

ผมขอเรื่องโกหกก่อน

“ฉันต่อต้านรัฐ เราควรบริหารประเทศโดยคน ไม่ใช่ AI สำเร็จรูป และกดป้อนโปรแกรมตามใจเพียงไม่กี่คน” สุดใจถอดป้ายห้อยคอลงเก็บในกระเป๋าถือ

เพียงพยักหน้า ถ้าเป็นเรื่องโกหกก็สมเหตุผล “แล้วไหนเรื่องจริงครับ ว่ามา”

“คนที่กำลังจะแต่งงานเป็นทหาร เขาทำร้ายฉัน ตบตีทุกครั้งที่เมา”

“นั่นเรื่องส่วนตัว”

“เพียงพอแล้วที่เราจะเกลียดชังความรุนแรงในทุกกรณี”

ประเทศนี้มีความรุนแรงมากเกินไป อย่างไม่ปรากฏและที่ปรากฏรับรู้กันในวงแคบอย่างสถาบันครอบครัว “ที่พวกเราทำอยู่ก็ความรุนแรงนะครับ”

ไม่มีอะไรตอบกลับมา เรียกมนุษย์เป็นๆ ที่มีเลือดเนื้อให้เอาเครื่องดื่มมาเพิ่มอีกคนละขวด เกลียดชังเรื่องรุนแรงในทุกกรณี ผมทวนประโยคในสมอง ย้อนแย้งเหลือเกินกับที่ลงมือไป เธอไม่ได้กดเอง แต่รับรู้ เป็นส่วนหนึ่งในโครงข่ายนี้ ผมไม่อยากโต้แย้ง โง่งมเกินกว่าจะเสนอสันติวิธีรูปแบบใด อย่างที่บอก ง่ายที่สุดคือการแบ่งปันความเจ็บช้ำกันไปกับผู้คนกลุ่มอื่นๆ กระทั่งคนที่ไม่มีสังกัด พวกเขาก็ควรแบ่งรับไปด้วย ถือว่าเราอยู่ร่วมประเทศเดียวกัน

เบียร์มาถึง ผมรินลงในกระบอกน้ำประจำตัว เอาขวดวางใต้โต๊ะ แต่มันล้มด้วยมือผมที่สั่นเทิ้ม

เป็นคืนที่ดีพอสมควร เขม็งเกลียวที่อยู่ในกระแสนึกคิดถูกทำลายล้างลงบ้าง การดื่มช่วยให้ชีวิตล่องลอยเบาหวิว นึกอยากให้บริษัทเหล้าทำเป็นแคปซูล เม็ดละแก้ว สกัดให้เข้มข้น ผมอาจซื้อมันติดกระเป๋าเสื้อเชิ้ตไว้ โลกหมุนมาไกลมากแล้ว แต่เหล้ายังคงสถานะของเหลว บ้าจริง

เวลาผ่านไปเร็วจนเข้าวันใหม่ ก่อนนั้นสุดใจก่นด่าทหารเลวซ้ำเป็นสิบรอบ ก้มหน้าด่าตะคอกใส่อากาศข้างตัว น่าจะเมา ก่อนลุกเดินห่างร้านมาเพื่อเรียกรถ แท็กซี่คันไหนไม่รับก็ตะโกนด่าไล่หลังคนรัก ทหารยศนายสิบ คนรักเกาะที่ฝากระโปรงท้ายรถทุกคัน

สุดใจคงลืมและเมาเกินไป แท็กซี่ไร้คนขับ ไม่มีโปรแกรมรองรับเสียงด่าจากลูกค้า

“ถ้าหมดรักแล้วควรจะเลิกนะ” พูดประโยคแสนเห่ยออกไป

สุดใจทิ้งตัวนั่งริมทางเดิน เงยหน้ามองผมที่ยังยืนค้ำหัวอยู่ แผดเสียงดัง นี่ไม่ใช่พนักงานสาวธนาคารที่ดูอ่อนโยน “โชคร้ายค่ะ ที่ฉันยังไม่หมดรัก”

เพลง Darling You Know I Love You ละลิ่วลอยมา

พูดกันแบบสนุกสนานว่า นักวิทยาศาสตร์เข้าใจถ่องแท้ว่าในน้ำตาหนึ่งหยดมีสูตรทางเคมีอะไรบ้าง แต่เขาจะคำนวณหาค่าพลังงานของมันไม่ได้เลย จนกว่าเขาจะร้องไห้เสียเอง

ล่ำลากันก่อนเปิดประตูแท็กซี่ เห็นเธอมีน้ำตา

นาทีนี้ผมเป็นนักวิทยาศาสตร์

ถ้าเป็นนิยายคงเพิ่งถึงกลางเรื่อง ตอนท้ายยังอีกยาวนาน

สุดใจบอกว่าให้ผมกับซันเดย์ปลอมตัวเป็นนักท่องเที่ยวเด๋อด๋ามาจากต่างจังหวัดสักระยะ มีการจับตามองมากเกินไป ให้พวกเราทิ้งอุปกรณ์ทั้งหมด คราวหน้าเธอจะเป็นคนถือมาเอง ย้ำว่าให้เราแสดงตัวเป็นนักท่องเที่ยว

ถ้าเป็นนิยายคงเพิ่งครึ่งเรื่อง ผมยังต้องมีชีวิตในเขตเมืองเก่านี้อีกนาน

คืนนี้เสียงฝีเท้าดังบนหัวเรารุนแรง คล้ายมีการจัดงานบนพิพิธภัณฑ์หนังสือ ผมออกไปร้านกาแฟริมเจ้าพระยาตอนบ่าย ปีนขึ้นไปแล้วพาตัวเองวนออกหลังร้าน จนกลับเข้ามาตอนเย็นเห็นคนยืนสูบบุหรี่ที่หน้าร้านสามสี่คน ซันเดย์ไม่ได้ออกไปไหน เขากลัวรถบนท้องถนนเฉี่ยวชน เมืองใหญ่เกินไป นอนกดมือถือเล่นแต่ในห้องอับทึบ แสงไฟส้มสองดวงใหญ่กลางห้องใต้ดินช่วยขับให้ดูวังเวงขึ้น ผมนึกถึงห้องและทางเดินลับในเวียดนาม ห้องบัญชาการ โถงทางเดิน ครัว สถานพยาบาล แต่นี่มีเพียงไฟส้ม ผนังห้องขึ้นเชื้อราที่แปะโปสเตอร์คอนเสิร์ตหรือปกหนังสือ เตียงนอนเหล็กพับสองตัวที่อยู่คนละฟากห้อง โต๊ะไม้เก่ามันเงาวางของจิปาถะ ตัวสแกนความเคลื่อนไหวปิดเปิดไฟในห้อง และเสียงจากกีตาร์ที่ลอยมาจากด้านบนในคืนนี้

บนหัวเราเป็นพันเล่ม แต่ไม่เคยคิดจะอ่าน ซันเดย์นอนก่ายหน้าผากหัวเราะบนเตียงใกล้กับบันไดที่ไว้ปีนขึ้น เสียงหัวเราะเยาะหยันแบบนี้ ซันเดย์ชอบหัวเราะให้โชคชะตาตัวเอง

เขย่ากระบอกน้ำส่วนตัว เหลือแค่ก้นกระบอก ผมถามถึงบ้านว่าเป็นยังไงบ้าง

“มีแต่คนหวาดกลัว พ่อก็เริ่มแหยงๆ” เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงแบบเหน็ดเหนื่อย มีแต่คนเริ่มหวาดกลัว พาตัวเองถอยจากการต่อต้านโครงการรัฐที่กำลังดำเนินไป “ผมไม่ได้คิดถึงแค่พวกเรา แต่คิดถึงคนรุ่นหลังด้วย ตอนนี้กระทั่งการซื้อข้าวสารก็ถูกบันทึกเข้าระบบ”

นับแต่ที่เราโดนซ่อมให้แบกโต๊ะกินข้าววิ่งรอบกองร้อย เราสนิทแนบแน่น เขามีทัศนคติที่ดีต่อชีวิตและสังคม อยู่บ้านทำไร่ ใช้ชีวิตแบบชาวบ้านห่างไกลตัดขาดกิเลส กระทั่งท้องถิ่นที่เขาเกิดเดือดร้อน ซันเดย์จึงได้ลุกปกป้องตนเอง

“พวกเราก็เหมือนสัตว์ป่า นายก็เห็น” เขาลุกนั่งชันบนเตียงเหล็กผ้าใบ “อยู่แบบเรา กึ่งซุกซ่อนตัว แล้ววันหนึ่งก็มีคนบุกเข้าไปเพื่อล่าเรา”

“ครั้งต่อไปนายคิดว่าจะรุนแรงไหม” ผมหมายถึงขนาดระเบิดที่เราไม่ได้ประกอบเอง ไม่คิดเอาคำตอบอะไร มองซันเดย์ผ่านแสงไฟส้มกลางห้อง ลูกตาดำสะท้อนแสงส้มจาง ดวงตาแบบสัตว์บาดเจ็บ ไม่มีทางเลือกอะไร ถ้าไม่วิ่งหายวับเข้าป่า ก็วิ่งสวนออกมาเพื่อปกป้องฝูงของตน

เพลงด้านบนเหนือหัวเราจากที่ฟังไม่รู้เรื่องด้วยเสียงแหบเบาเลือนราง จึงก็ได้ยินเพลงช้าภาษาไทย Home ของธีร์ ไชยเดช พวกเราหยุดคุยชั่วขณะเพื่อฟัง จากนั้นต่อด้วยเพลงสากลที่เราร้องตามไม่ได้ แค่ขยับเท้าเข้าจังหวะ

บ้าน ซันเดย์พูดก่อนจะล้มตัวลงนอนยกขาไขว่ห้างฟังเพลง

ไม่ใครก็ใครสักคนที่ต้องกด ถุงกระดาษน้ำตาลสูงหนึ่งฟุตถูกวางใต้แท่นอ่านกระจกใสสำหรับอ่านข่าวออนไลน์สาธารณะหน้าโรงเรียนมัธยม เราอยู่ไม่ไกลจากตำแหน่งนั้นเลย นั่งชิดกระจกร้านฟาสต์ฟู้ด ฝนเม็ดสุดท้ายหายไปตอนบ่ายสาม น่าจะเป็นฝนจากระบบการควบคุมของเมืองหลวง หลายวันที่ผ่านมาร้อนและค่าฝุ่นละอองสูงเกินไป โรงเรียนกำลังเลิก รถของผู้ปกครองต่อแถวยาวเหยียดในช่องการจราจรที่หนึ่งและสอง ผมมองผ่านกระจกเห็นอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยอยู่เบื้องหน้า เก่าซีดเหลือเกิน

เสื้อเด็กนักเรียนจะเปลี่ยนเป็นสีแดง พื้นจะมีข้าวของกระจุยเกลื่อนทั่ว มองตากันกับซันเดย์ คาดเดาจากน้ำหนักถุงกระดาษที่นำไปวาง หนักขนาดนั้นคงแบ่งปันความเจ็บปวดมากพอสมควร

“ผมคงพอแล้ว กลับบ้านไปเปิดร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบที่เรียนมา” เขาพูดตอนเราจ้องหน้ากัน ผมพยักหน้าเข้าใจดี ซันเดย์แค่ต้องการเอาคืนบ้างเท่านั้น ไม่ได้ต่อสู้เพื่ออุดมการณ์อะไร

ใครกันจะซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า แค่ซื้อวงจรพรีเมียมสั่งการทุกชิ้นในบ้าน มันสามารถซ่อมแซมตัวเองได้ ผมไม่ได้พูดออกไป อาจทำลายหัวใจซันเดย์

“นายสงสารเด็กพวกนั้นรึเปล่า” เขาถาม

สงสาร ผมชิงตอบอย่างไว แต่นี่คือการเมือง เราต้องเป็นผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมทั้งบนดินและใต้ดิน

ใครสักคนต้องกดโทรศัพท์แล้ว

มือตนเองสั่นรัว ผมลืมกระบอกน้ำไว้ที่ร้านกาแฟตอนบ่ายโมง

ซันเดย์สะพายเป้ความทรงจำไต่ขึ้นบันไดและออกหลังร้านหนังสือไปเมื่อครู่ นอกจากเสื้อผ้า แท็บเล็ตและของใช้ส่วนตัว ผ้าคลุมผมคือสิ่งแปลกปลอม เขาบอกขณะเก็บของ คนรักให้มาตอนขึ้นรถที่ขนส่งจังหวัด เธอบอกว่าเขาต้องเอามาคืนด้วยตัวเอง ชีวิตช่างโรแมนติก

ผมกำลังเก็บของเหมือนกัน เราหายใจในชั้นใต้ดินของพิพิธภัณฑ์หนังสือร่วมสองเดือน อับชื้นและอับเฉาในชีวิต บอกคนรักว่าต่อไปจะไม่ทำร้ายเธออีกแล้ว เลิกดื่ม เรียนรู้ที่จะใจเย็นให้มากขึ้น เวลานี้ผมยี่สิบแปดปี ควรจริงจังกับชีวิต ไม่ใช่ทุ่มเวลาไปกับเหล้า

สามวันก่อน บ่ายโมงตรง ผมไปที่ร้านกาแฟใกล้แม่น้ำ รับถุงกระดาษสีน้ำตาลจากสุดใจ เราอยู่ในสวนจำลองของร้านกาแฟ แค่อุปกรณ์ทำหลอก สุดใจบอก ย้ำว่าห้ามไม่ให้บอกซันเดย์ ไม่มีการเชื่อมสายไฟวงจรระเบิด ตอนผมกดโทรศัพท์แล้วปลายทางมีเสียงเรียกเข้าดัง คนคงตกใจที่มันดังออกมาจากถุงกระดาษลึกลับ ไม่นานรถของหุ่นยนต์ตำรวจเก็บกู้ก็มากันคนออกจากพื้นที่

สามวันก่อนไม่มีเสียงระเบิด

ความทุกข์ ความเจ็บปวดหัวใจเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ควรแบ่งปันให้ใคร นั่นเป็นประโยคที่สุดใจพูด

ผมบอกสุดใจว่า หลังจากช่วยซันเดย์ครั้งนี้จะกลับไปเริ่มชีวิตใหม่ อยากเป็นคนเดิมเหมือนครั้งรู้จักกันเริ่มแรก จะตั้งใจทำงานและดูแลเธอ แม้เป็นแค่สิบเอกที่ดูแลคอยปิด-เปิดสวิตช์ห้องปฏิบัติการหน่วยงานก็ตามเถอะ ยืนยันว่าจะเลิกดื่ม ยืนยันว่าจะไม่ทำร้ายเธออีก

คิดถึงเรื่องแต่งงาน บอกเธอแบบนั้นว่าจะแต่งงาน

สุดใจกุมมือผม เอาอีกแล้ว น้ำตาไหลอีกแล้ว ผมเองก็รู้สึกแปลกกับตัวเอง ไม่เคยสักครั้งที่จะตั้งใจเลิกดื่มเหล้าขนาดนี้

ยิ้มเธออ่อนโยนแบบที่ผมเห็นมาตลอดห้าปีที่คบกัน

สุดใจก้มมองนาฬิกาข้อมือ หน้าปัดขึ้นไฟสีส้มวาบแจ้งเตือนใกล้หมดเวลาพักกลางวัน เราพากันออกนอกร้าน เดินตามทางคุ้นเคยไปส่งเธอที่ธนาคารริมถนนราชดำเนิน

ก็ตอนสามวันก่อนนั่นละ ที่แกล้งๆ ลืมวางกระบอกน้ำส่วนตัวทิ้งไว้ที่ร้านกาแฟ