ปรับค่าแรงขั้นต่ำ 400 บ. ‘ดาบสองคม’ ฤๅ รบ.จบปัญหาเดิม – เพิ่มปัญหาใหม่

รัฐบาลของ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ปักธงนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำ เป้าหมาย 600 บาทต่อวัน ภายในปี 2570 โดยต้องทยอยปรับขึ้นค่าแรงตั้งแต่ปีนี้

เวลานี้จึงเห็นการเคลื่อนไหวชัดเจน หลังจากวันที่ 1 พฤษภาคม 2567 วันแรงงานแห่งชาติ นายกฯ เศรษฐาได้โพสต์ข้อความผ่านแอพพ์เอ็กซ์ตอนหนึ่งระบุว่า “ไม่ลืมคำมั่นสัญญาว่าจะยกระดับฐานเงินเดือน ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เพื่อให้คนไทยดำรงชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรี มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สร้างความชุ่มฉ่ำหัวใจให้กับผู้ขายแรงงานถ้วนหน้า”

สอดคล้องกับ “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ประกาศเจตนารมณ์ปรับขึ้นค่าแรงงานใหม่ คาดว่าจะประกาศได้ภายในเดือนตุลาคม 2567 แนวทางเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) 2 มีนาคม 2567 ที่รับทราบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอเรื่องประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่องอัตราค่าจ้างขั้นต่ำประเภทกิจการโรงแรม และประกาศในราชกิจจานุเบกษา

อย่างไรก็ตาม การจะปรับค่าจ้างขั้นต่ำอัตรา 400 บาทในอัตราเดียวกันทั่วประเทศ ยังต้องผ่านการพิจารณาของคณะอนุกรรมการค่าจ้างจังหวัด คณะอนุกรรมการวิชาการ และคณะกรรมการค่าจ้าง (ไตรภาคี) ให้มีบทสรุปที่เห็นตรงกันทั้งนายจ้างและลูกจ้างเสียก่อน

กระนั้นแล้ว ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงกำลังฟื้นตัว การปรับขึ้นค่าแรงอาจเป็นตัวช่วยให้ลูกจ้างมีรายได้มากขึ้น

ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนที่เป็นนายจ้างอาจจะรับศึกหนักต่อการรับนโยบายการขึ้นค่าแรงงานของรัฐบาลไม่ไหว

 

สะท้อนภาพจากเอกชนที่รวมตัวคัดค้านเต็มกำลัง นำโดย “พจน์ อร่ามวัฒนานนท์” รองประธานกรรมการ คนที่ 1 หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ระบุหอการค้าทั่วประเทศ 5 ภาค และสมาคมการค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้น 54 สมาคม ขอแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยและขอคัดค้านการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ เนื่องจากเป็นการปรับอัตราค่าจ้างที่สูงเกินกว่าความเป็นจริง จะเป็นปัจจัยลบส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศไทย เพราะเศรษฐกิจปัจจุบันมีปัญหาหลายประการสร้างความผันผวน และเสนอการปรับค่าจ้างขั้นต่ำต้องเป็นไปตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานและกลไกการพิจารณาจากคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัด และคณะกรรมการค่าจ้าง (ไตรภาคี)

“ภาคเอกชนไม่เคยปฏิเสธรัฐบาลที่ต้องการเพิ่มรายได้ให้แรงงาน แต่ต้องคิดให้รอบด้านถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจะรุนแรงมากต่อผู้เกี่ยวข้องมากมาย หากเพิ่มภาระด้านแรงงานที่ยังไม่พร้อม จะกลายเป็นศรย้อนกลับให้ทุกคนต้องมีภาระเพิ่มจากราคาสินค้าและค่าบริการสูงขึ้น สุดท้ายแรงงานไม่ได้อะไรเพิ่ม คาดหวังว่ารัฐบาลจะรับฟังและนำไปทบทวนในที่สุด” พจน์เน้นย้ำ

สอดคล้องผู้นำเอกชน “เกรียงไกร เธียรนุกุล” ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุ นโยบายค่าแรงขั้นต่ำทันที 400 บาททำให้ผู้ประกอบการกังวลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้รัฐบาลผสม อาจทำให้นโยบายต่างๆ ขาดความเป็นเอกภาพ กังวลจะกระทบต่อต้นทุนการผลิต

พร้อมเตือนรัฐบาลว่า การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศทุกกิจการต้องพิจารณาให้รอบคอบ หากขึ้นทันที ลูกจ้างดีใจ แต่ผู้ประกอบการที่ธุรกิจยังไม่ฟื้นตัวอาจเลิกจ้าง เลิกกิจการ เพราะต้นทุนการจ้างเพิ่มขึ้นกว่า 30% ดังนั้น การขึ้นค่าแรงทันทีจึงเป็นการแก้ปัญหาหนึ่งแต่ไปสร้างปัญหาใหม่

เกรียงไกรย้ำว่า สิ่งที่รัฐบาลควรทำทันที ไม่สร้างผลกระทบใคร คือ มาตรการลดค่าครองชีพ เพื่อเพิ่มเงินในกระเป๋าและเพิ่มกำลังซื้อของผู้บริโภค รวมทั้งใช้มาตรการเติมเม็ดเงินเข้าสู่ระบบให้เกิดการกระตุ้นการใช้จ่าย อาทิ มาตรการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท

 

ด้านนักเศรษฐศาสตร์ “ธนวรรธน์ พลวิชัย” อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยผลสำรวจความคิดเห็นภาคเอกชนทั้งภาคการผลิต การค้าและบริการ ระบุ การปรับอัตราค่าแรงในแต่ละครั้งส่งผลกระทบต่อจีดีพี เงินเฟ้อ ผลิตภาพแรงงาน รวมถึงอัตราการว่างงานทั้งบวกและลบ โดยผลเชิงบวก เมื่อผลิตภาพแรงงานเพิ่มขึ้นจะผลักดันจีดีพีโตขึ้น กระตุ้นกำลังซื้อ การผลิต และการลงทุนดีขึ้น เมื่อต้นทุนต่อหน่วยลดลงจะช่วยให้สินค้าในประเทศแข่งขันได้มากขึ้น

ส่วนผลเชิงลบ หากค่าแรงเพิ่มเร็วโดยไม่คำนึงถึงผลิตภาพแรงงาน อาจเกิดการว่างงานและกำลังซื้อลดลง ถ้าผลิตภาพแรงงานไม่เพิ่มตามค่าแรง ความสามารถการแข่งขันลดลงกระทบการส่งออกและจีดีพี ขณะเดียวกัน ต้นทุนค่าแรงอาจถูกผลักไปที่ราคาสินค้าทำให้เกิดแรงกดดันเงินเฟ้อ โดยเฉพาะสินค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้น และหากไม่ลงทุนเพิ่มประสิทธิภาพ ต้นทุนที่สูงขึ้นอาจทำให้ขีดความสามารถแข่งขันลดลง

ธนวรรธน์ยังย้ำว่า การปรับค่าแรงแบบกระชากจะส่งผลเสียในระยะยาว สอดคล้องกับข้อมูลที่ว่าเอกชน 64.7% จะปรับราคาสินค้าและบริการประมาณ 15% ขึ้นไป 17.2% ลดปริมาณ และ 11.5% มีแนวโน้มนำเครื่องจักรมาทดแทนแรงงาน

 

ด้านลูกจ้าง “สาวิทย์ แก้วหวาน” ประธานสมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย ระบุ การปรับขึ้นค่าจ้าง 400 บาท อาจจะไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับสภาพเศรษฐกิจที่ค่าครองชีพปรับขึ้นต่อเนื่อง โดยปี 2560 สมาพันธ์ฯ ได้ทำการศึกษาถึงการปรับขึ้นค่าแรงงาน อัตราที่เหมาะสมกับการดำรงชีพอยู่ที่ 712 บาท จึงเห็นด้วยจะปรับค่าจ้าง 400 บาทในอัตราเดียวกันทั่วประเทศ เพราะสมาพันธ์ฯ เรียกร้องมา 10-20 ปีแล้วให้ปรับขึ้นค่าแรงงานให้สอดคล้องกับค่าครองชีพ เช่น ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่ปรับขึ้นต่อเนื่อง

สาวิทย์ยังระบุว่า สมาพันธ์ฯ สนับสนุนสุดตัวให้ปรับขึ้นค่าจ้างอัตราเดียวกันทั่วประเทศ แต่ราคาต้องมาว่ากันอีกทีว่าจะอยู่ที่เท่าไหร่ ขณะเดียวกันรัฐบาลต้องดำเนินการควบคู่ คือ ควบคุมราคาสินค้า ราคาพลังงาน และก๊าซ เมื่อลดต้นทุนเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย

พร้อมทิ้งท้ายว่า การขึ้นค่าจ้างต่อให้สูงขนาดไหน ถ้าราคาสินค้าขึ้นไม่หยุด รัฐควบคุมไม่ได้จะเป็นปัญหา ขนาดตอนนี้ยังไม่ปรับขึ้นค่าจ้าง ราคาสินค้ายังปรับขึ้นอยู่ดี ถ้าไม่ปรับค่าจ้างแรงงานจะอยู่อย่างไร

จากเสียงสะท้อนข้างต้น สุดท้ายแล้วการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอาจเป็นดาบสองคม

ถือเป็นโจทย์ร้อนที่รัฐบาลควรมีทางออกร่วมกัน ทั้งฝั่งนายจ้าง และลูกจ้าง