ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 กรกฎาคม 2558 |
---|---|
คอลัมน์ | กาแฟโบราณ |
เผยแพร่ |
หมายเหตุ : บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 10/07/2015
มี gmail เมื่อ 7 พฤษภาคม 2014 จากผู้ใช้นามว่า Tipawan Y. ถึงผมว่า
“อ่านบทความของคุณ จากมติชนสุดสัปดาห์เล่มล่าแล้ว ให้สงสัยเรื่องความเป็นพี่น้องกับทักษิณ แล้วเดี๋ยวนี้ไม่เป็นพี่น้องกันแล้วเหรือคะ?”
นาทีแรกผมใจไม่ค่อยดี เพราะแง่หนึ่งของถ้อยคำข้างต้นมีน้ำเสียง “ต่อว่าต่อขาน” แต่เมื่ออ่านต่อให้จบข้อความในเมล์ พบว่าคุณ Tipawan Y. ชอบอ่านที่ผมเขียนเล่าเรื่องสมัยก่อน ให้กำลังใจและจะคอยติดตามอ่านต่อไปเรื่อยๆ
เหตุที่ผมใจไม่ค่อยดี เพราะตอนที่เขียนข้อความว่า “…เมื่อครั้งที่เรายังเป็นพี่น้องกันอยู่…” ทิ้งท้ายไว้ก็เท่ากับว่า “เดี๋ยวนี้ไม่ได้เป็นพี่น้องกันแล้ว” มันทำให้ผมคิดแล้วคิดอีก
ลังเลอยู่หลายตลบเหมือนกันว่าสมควรที่จะใช้คำพูดแบบนี้หรือไม่ด้วยว่ามันมีนัยยะให้ตีความได้ถึง2ประเด็น คือบอกเลิกความเป็นพี่น้องนักเรียนนายร้อยตำรวจ กับการไม่บังอาจ “ตีเสมอ” ยกตัวเองเป็นพี่ของนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้นำประเทศที่ดังและร่ำรวยมหาศาลด้วย
มันเป็นนัยยะที่ขัดแย้งกันเองหรือตรงข้ามกันถึงผมจะ”วางตัว”อย่างไหนผมก็ผิดทั้งนั้น… ผิดที่ไปถอนตัวจากความเป็นพี่น้องหรือไม่ก็ผิดที่ไปตีเสมอผู้ยิ่งใหญ่ระดับโลก
อาจจะมีคำถามตามมาว่าเมื่อรู้ตัวจะถูกมองว่า”ผิด”แล้วยังดันทุรังเขียนออกมาทำไมกัน(วะ)
เรื่องมันมีครับ…
คืน countdown วันจะขึ้นปีใหม่ที่เซ็นทรัลเวิลด์ ราชประสงค์ พ.ศ. เท่าใดผมจำไม่ได้ จำได้แต่ว่าเป็นปีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี จะไปเป็นประธานและร้องเพลงปีใหม่ร่วมกับประชาชน
ผมกับเพื่อนหญิงคนหนึ่งตั้งใจจะไปฉลองปีใหม่กันที่ล็อบบี้บาร์ของโรงแรมเพรสซิเด้นท์ซึ่งอยู่ละแวกเดียวกับลานเบียร์การ์เด้นของเซ็นทรัลเวิลด์
พอย่างเท้าเข้าไปในล็อบบี้บาร์อันกว้างขวางผมเห็นคุณทักษิณนั่งอยู่ที่โต๊ะแบบชุดรับแขกเก้าอี้อาร์มแชร์มีฝรั่งวัยรุ่น2 คนนั่งร่วมโต๊ะด้วย ไม่มีทหาร-ตำรวจอารักขาแต่อย่างใด ไม่มีแม้แต่เพื่อนคนไทยสักคน
เราอยู่ห่างกันพอสมควร ในระยะที่จะทักกันก็ได้ หรือจะแสร้งทำเป็นไม่เห็นแล้วไม่ทักกันก็ได้
พ.ต.ท.ทักษิณ มองมาทางผมก็จริง แต่ไม่มีสัญญาณทักทาย ไม่ว่าจะด้วยยกมือ หรือด้วยหางตา หรือยิ้มมุมปาก ทำให้ผมชักไม่แน่ใจว่าเขาจะจำผมได้หรือเปล่า
แม้จะไม่เมินแต่เป็นการมองด้วยสายตาว่างเปล่าไม่มีวี่แววของคนที่รู้จักกันหรือรู้จักแต่ก็ไม่ประสงค์จะให้เข้าไปทัก
ผมชะงักลังเลอยู่เพียงเสี้ยวนาทีก็เดินไปหาที่นั่งอีกมุมหนึ่งทำทีเหมือนว่ามองไม่เห็นไม่รู้จักกันหรือจำไม่ได้สายตาสั้นฯลฯ ประมาณนี้แหละ
ผมอยู่ในชุดแต่งกายลำลองใส่เสื้อยืดคอปกลายขวาง กางเกงยีนส์และรองเท้าแตะ แม้จะเป็นรองเท้าหนังมีแบรนด์แต่มันก็เป็นรองเท้าแตะที่ไม่สุภาพ ไม่เหมาะสมที่จะสวมใส่เข้าไปยืนพูดคุยกับคนระดับผู้นำประเทศ
ผมคงไม่คิดอะไรมากถ้าคุณทักษิณไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีผมก็คงกรากเข้าไปทักเหมือนเพื่อนร่วมอาชีพที่เคยผ่านสถาบันเดียวกันอาจจะพูดคุยเรื่องคอมพิวเตอร์ของตำรวจสักสอง-สามคำแล้วก็แยกย้ายกันไปฉลองปีใหม่
แต่พอเป็นนายกรัฐมนตรีผู้นำประเทศ สถานะพี่-น้องระหว่างเรามันก็จำเป็นต้องเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา อย่างน้อยเราต้องรักษา “ระยะห่าง” กันให้เหมาะสม
พอผมได้ที่นั่งและสั่งเบียร์มาเป็นเพื่อนแล้วผมหวนกลับมาคิดใหม่…ผมควรจะเข้าไปทักนายกฯทักษิณเสียในตอนนี้โอกาสอย่างนี้ไม่ใช่จะมีขึ้นได้ง่ายๆ นะครับ ขนาดนายตำรวจใหญ่ระดับ พล.ต.อ. (ที่คุณทักษิณฝากคำพูดมาบอกว่า “อยากคุยด้วยนานๆ”) เคยบ่นให้ผมฟังว่า “พบยาก กำแพงเยอะ ขนาดบอกว่าอยากคุยด้วยก็ยังไม่ได้พบเลยว่ะ”
ผมเพิ่งเดาออกว่านายกฯ กับหนุ่มฝรั่งนั้นต่างคนต่างมา นายกฯ คงเข้ามาแต่ลำพังเพียงคนเดียวเพื่อรอพรรคพวกที่จะมาร่วมร้องเพลงปีใหม่ด้วยกัน
ที่คุณทักษิณไม่ได้ส่งสัญญาณทักผมนั้นอาจจะเป็นเพราะเห็นผมมากับผู้หญิงเพียงสองต่อสองคงคิดว่าผมน่าจะต้องการความเป็นส่วนตัวมากกว่าจะมาคุยเรื่องที่ไม่มีวาระและสาระกับนายกรัฐมนตรี(ฮา)
ถ้าเป็นเรื่องที่ผมเข้าใจสถานการณ์ผิดก็น่าเสียดายโอกาสหายากนี้อย่างยิ่ง
ผมตัดสินใจเดินกลับไปที่โต๊ะคุณทักษิณ แล้วก็พบว่าที่โต๊ะเหลือแต่ฝรั่งหนุ่มสองคนเท่านั้น นายกฯ ทักษิณไปร้องเพลงที่เวทีบริเวณลานเบียร์การ์เด้น เซ็นทรัลเวิลด์ เสียแล้ว
แรกเจอกันหรือเจอกันครั้งแรกระหว่างผมกับคุณทักษิณไม่ค่อย “สวย” นักเพราะเป็นการเจอกันของ“คนสร้างหนัง” กับ “คนซื้อหนัง” ที่บริษัทสหมงคลฟิล์ม โคลีเซี่ยม
ประโยคแรกที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทักผมก็คือ “หนังของพี่ฟอร์มไม่ดีเลย ผมขอลดห้าหมื่นนะครับ”
คนสร้างหนังอย่างผมหรือจะโต้ตอบอะไรได้ แต่ก็แปลกนะครับที่ผมไม่มีความรู้สึกในทางลบแต่อย่างใด ในขณะที่เพื่อนหุ้นส่วนของผมบ่นอุบและนินทาลับหลังไม่หยุด
ผมเป็นตำรวจท้องที่มีโอกาสได้รับนามบัตรจากพ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะนักธุรกิจเป็นเรื่องไม่หนักหนาอะไรซ้ำยังเป็นประโยชน์ต่อสังคมและหน้าที่ของตำรวจอีกด้วย
ครั้งหนึ่งผมไปขอสำเนาข้อมูลรถยนต์ที่ศูนย์คอมพิวเตอร์ที่คุณทักษิณควบคุมดูแลอยู่ผมพยายามกำหนดขอบเขต (scope) เพื่อไม่ให้สิ้นเปลืองกระดาษเกินไปแต่มันก็ยังมากอยู่ดี พ.ต.ท.ทักษิณ มีท่าทีอิดออด บังเอิญว่าวันนั้น คุณอ้อ (คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร) อยู่ในห้องทำงานด้วย คุณหญิงเข้าใจความจำเป็นของข้อมูลที่ผมต้องการ บอกกับคุณทักษิณว่า “ถึงจะเยอะก็ปริ๊นต์ให้พี่เขาไปเถอะ”
การให้เกียรติเพื่อนของคู่ครองเป็นลักษณะผู้นำที่ดีทำให้ผมนึกทายอยู่ในใจว่าในอนาคตคุณอ้อน่าจะได้เป็นคุณหญิงที่มีบารมีและอิทธิพลสูงและผมก็ทายถูก
พ.ต.ท.ทักษิณ เคยชวนคุยและทดสอบความเห็นส่วนตัวของผม เกี่ยวกับการใช้สัญญาณไฟจราจรที่ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์แทนใช้กำลังคน แสดงวิสัยทัศน์และความเป็นนักธุรกิจที่มากด้วยไอเดียทันสมัย
ครั้งหนึ่งมีพนักงานบริษัทของคุณทักษินมาขอดู “โครงสร้างข้อมูลคดีอาญาบช.น.” ที่ผมออกแบบผมไม่แน่ใจว่ามาตามคำแนะนำของคุณทักษิณหรือไม่ แต่ผมยินดีอย่างยิ่ง
วันที่เขาลาออกจากราชการ ผมเข้าไปแสดงความไม่เห็นด้วยถึงในห้องทำงาน พ.ต.ท.ทักษิณ ได้แต่ส่ายหน้าและยิ้มกับความไร้เดียงสาของรุ่นพี่คนนี้
คำตอบของผมที่จะตอบผู้อ่านที่ gmail มาถึงผมก็คือ ความเป็นพี่น้อง นรต. นั้นมันบอกเลิกกันไม่ได้ก็จริง แต่ในสถานะอย่างนี้มันย่อมมี “ระยะห่าง” ตามธรรมชาติของมัน