รากเหง้าสภาอาชีพ (3)

เกษียร เตชะพีระ

การเมืองวัฒนธรรม | เกษียร เตชะพีระ

 

รากเหง้าสภาอาชีพ (3)

 

ตอนหนึ่งของชุดวิดีโอคลิปเรื่องการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา คุณหทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ@บีบีซีไทย ตั้งคำถามแหลมคมตรงๆ ว่าพูดให้ถึงที่สุด “ส.ว.ชุดใหม่เป็นตัวแทนของใคร?” (https://www.youtube.com/watch?v=JTf3FI8OTjI)

เพราะหากถือตามกติกาเลือกตั้งสุดซับซ้อนหลายชั้นที่วางไว้ เธอสรุปว่า “ก็อาจจะไม่สามารถพูดได้เต็มปาก ว่า…ตกลงแล้ว ส.ว. 2567 เป็นตัวแทนของกลุ่มอาชีพ…(และ) ตัวแทนของระดับพื้นที่จริงหรือไม่?”

ประเมินมอง “อย่างดีที่สุด” ตามทรรศนะของ รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ อดีตอาจารย์เศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ & ว่าที่ผู้สมัคร ส.ว. กลุ่มการศึกษา เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ “ส.ว.ที่จะได้มาตามกฎเกณฑนี้…ก็คือ เป็นสิ่งที่เรียกว่าหัวกะทิของกลุ่มอาชีพต่างๆ” (“คมกริบ 10 วาทะฯ”, มติชนรายวัน, 3 พฤษภาคม 2567, น.9)

แต่ถ้าประเมินมองอย่างไม่ดีที่สุด ตามทรรศนะของอาจารย์ ดร.ปุรวิชญ์ วัฒนสุข แห่งคณะรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ผู้ศึกษาการเมืองกับการเปลี่ยนแปลงเชิงสถาบันของวุฒิสภาในประเทศไทย ก็จะเป็นว่าการแบ่งกลุ่มอาชีพ 20 กลุ่ม “ไม่มีคำอธิบายบนพื้นฐานวิชาการ นิยามไม่ได้ แต่คือไทยสไตล์ ให้สะดวก” แค่นั้นเอง (https://www.youtube.com/watch?v=JTf3FI8OTjI)

กระนั้นแล้วเราจะเข้าใจคำกล่าวอ้างของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ฉบับปัจจุบันชุดนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ที่ระบุถึงการกำหนดที่มาของ ส.ว.ไว้ว่าต้องการ “ให้ ส.ว.มีฐานะเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย มิใช่ผู้แทนของแต่ละกลุ่มหรือแต่ละจังหวัด” ได้อย่างไร? (อ้างจาก Hataikarn Treesuwan, “ส.ว. 200 คนเป็นตัวแทนของใครกันแน่?”, 15 April 2024, https://www.facebook.com/TrHataikarn)

ผมคิดว่าคำตอบอยู่ที่รากเหง้าวิธีคิดเรื่องประชาธิปไตยของคณะ กรธ.ชุดคุณมีชัยนั่นเอง ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามหลักการแบบสากลตะวันตกของประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น แห่งสหรัฐอเมริกาที่ว่า “การปกครองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน” ดังที่เข้าใจกันทั่วไป (“government of the people, by the people, for the people”, U.S. President Abraham Lincoln, The Gettysburg Address, November 19, 1863, https://www.abrahamlincolnonline.org/lincoln/speeches/gettysburg.htm)

หากเป็นดังที่คุณมีชัย ฤชุพันธุ์ กล่าวตอบคำถามของผู้สื่อข่าวต่างชาติในการแถลงข่าวเปิดตัวร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2559 ว่า :

นักข่าวถาม : อะไรคือความคิดของคุณเรื่องประชาธิปไตย?

มีชัย : เราถือหลักการของพุทธทาสภิกขุ ซึ่งท่านเป็นพระสงฆ์ผู้มีชื่อเสียงในเมืองไทย ที่ว่า “ประชาธิปไตยไม่ได้หมายความว่าอำนาจต้องมีไว้สำหรับประชาชน หากแต่เป็นว่ามันควรรับใช้ผลประโยชน์ที่ดีที่สุดของประชาชน” ฉะนั้น เราจึงถือผลประโยชน์ที่ดีที่สุดของประชาชนเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรกสุดในการยกร่างรัฐธรรมนูญ (อ้างและแปลจาก https://asia.nikkei.com/Politics-Economy/Policy-Politics/Thailand-s-new-constitution-in-nation-s-best-interest-drafting-committee-chief)

โดยเราอาจเท้าความย้อนกลับไปถึงคำกล่าวเรื่องนี้ของท่านพุทธทาสภิกขุได้ว่า :

“ประชาธิปไตยคือประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ ไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่ ถ้าประชาชนเป็นใหญ่ มันก็ทำเพื่อประชาชนโดยประชาชน นี่เราต้องเอาประโยชน์ที่ถูกต้องของประชาชนทั้งหมดแหละเป็นใหญ่ สังคมนิยมก็เหมือนกัน ไม่ใช่เห็นแก่สังคม แต่เห็นแก่ประโยชน์ของสังคม จึงจะเป็นสังคมนิยม (ประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ ไม่ใช่โดยประชาชน…) โดยคนอื่นก็ได้ ให้ประชาชนได้รับประโยชน์เต็ม อย่างนั้นจึงจะเป็นประชาธิปไตย ไอ้ประชาชนเป็นใหญ่นั้นมันไม่แน่ ประชาชนบ้าบอก็ได้ ของประชาชน โดยประชาชน ถ้าประชาชนเห็นแก่ตัวแล้วฉิบหายหมด”

(พุทธทาสภิกขุ หรือ พระธรรมโกศาจารย์ (เงื่อม อินฺทปญฺโญ, พ.ศ.2449-2536) ให้สัมภาษณ์แก่เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง https://www.youtube.com/watch?v=7eKJsEELVDI)

 

ความตกห่างลักลั่นเหลื่อมหลุด (discrepancies) ระหว่าง [สถานภาพที่ กรธ.คาดหมายให้ ส.ว.จากการเลือกตั้งเป็น –> ผู้แทนปวงชนชาวไทย] กับ [กลไกการเลือกตั้งสุดซับซ้อนหลายชั้นที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ -> หัวกะทิของกลุ่มอาชีพต่างๆ หรือนิยามไม่ได้ แต่คือไทยสไตล์ ให้สะดวก] พูดให้ถึงที่สุดก็มีที่มาจากนิยามความเข้าใจ “ประชาธิปไตย” ข้างต้นนี่แหละ

คือประชาธิปไตยย่อมต้องเป็นการปกครอง “เพื่อประโยชน์ที่ถูกต้องของประชาชนเป็นใหญ่” หรือ “เพื่อประชาชน” (for the people : OK)

แต่ต้องไม่เป็นการปกครอง “โดยประชาชน” หรือ “ของประชาชน” (by the people or of the people : No way)

เพราะ “ประชาชนบ้าบอก็ได้…เห็นแก่ตัว” ก็ได้ ฉะนั้นแล้ว ขืนให้ประชาชนปกครองโดยตัวเองและของตัวเองแล้วก็จะ “ฉิบหายหมด”

การไม่ยอมให้ ส.ว.ได้รับเลือกตั้งทั่วไปตามปกติเพื่อให้ได้ผู้แทนปวงชนชาวไทยเหมือนเลือก ส.ส. (= การปกครองโดยประชาชน, ประชาชนปกครองตัวเอง) หากให้สมัครเองเลือกกันเองใน 20 กลุ่มอาชีพ ก็เพื่อประกันให้ได้ผู้แทนที่ไม่บ้าบอและไม่เห็นแก่ตัว ประเทศชาติจะได้ไม่ฉิบหายนั่นเอง สาธุ

แต่มุมไทยแบบพุทธทาสนี้ใช่มุมเดียวที่จะมองสภาอาชีพได้เท่านั้นหรือ?

 

ผมไม่คิดเช่นนั้นและน่าที่จะลองมองด้วยมุมอื่นความหมายอื่นฐานคิดอื่นดู ด้วยความมักสะดวกตามประสาคนไกลวัด ผมจึงหันไปถาม…จะใครเสียอีกล่ะครับ?…Microsoft Copilot เพื่อนคู่คิดปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI คู่ใจของเว็บเบราว์เซอร์ Microsoft Edge

อาศัยที่ผมจำได้เลาๆ จากสมัยเรียนการเมืองเปรียบเทียบที่มหาวิทยาลัยคอร์แนลว่าสภาอาชีพมันเกี่ยวพันอยู่กับแนวคิดบรรษัทนิยมของระบอบฟาสซิสต์ ผมจึงตั้งคำถามให้ Copilot ไปว่า :

“What is the character of parliament under fascist corporatism?” (อะไรคือบุคลิกลักษณะของรัฐสภาภายใต้ลัทธิบรรษัทนิยมแบบฟาสซิสต์?)

แผล็บเดียวเจ้า AI Copilot ก็บ้วนคำตอบออกมาให้เป็นวรรคเป็นเวรดังนี้ครับ :

 

“Under fascist corporatism, บุคลิกลักษณะของรัฐสภาประสบพบผ่านการเปลี่ยนแปลงต่างๆ อย่างมีนัยสำคัญ ลองมาค้นคว้าเรื่องนี้กันดู :

1) บรรษัทนิยมกับรัฐสภาทางเศรษฐกิจ :

– ช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่งกับครั้งที่สอง บรรษัทนิยมหมายถึงการจัดระเบียบสังคมการเมืองอย่างกว้างขวางครอบคลุม โดยตั้งเป้าแทนที่ระบอบเสรีประชาธิปไตยด้วยระบบแทนตนแบบต่อต้านปัจเจกนิยม

– ในหลายกรณี องค์กรบรรษัทนิยมซึ่งรู้จักกันในนาม “รัฐสภาทางเศรษฐกิจ” ด้วยนั้นดำรงอยู่ควบคู่กับรัฐสภา แบบดั้งเดิมหรือแทนที่มันไปเลยทีเดียว

– สภานิติบัญญัติแนวใหม่เหล่านี้มีหน้าที่ให้คำปรึกษาหารือและสนองการช่วยเหลือทางเทคนิคให้แก่รัฐบาล

– แนวคิด “รัฐสภาทางเศรษฐกิจ” เป็นส่วนหนึ่งของทรรศนะแบบอินทรียภาพ (มองรัฐและสังคมเสมือนหนึ่งองคาพยพของร่างกายมนุษย์) โดยเน้นย้ำการแทนตนบนฐานพลังทางสังคมและโครงสร้างทางเศรษฐกิจ

2) สภาแห่งสหภาพและบรรษัท (อิตาลี) :

– ในอิตาลีสมัยฟาสซิสต์ เบนิโต มุสโสลินีบรรลุคำสัตย์ปฏิญาณของเขาที่จะสร้าง “รัฐบรรษัท” ขึ้นมา

– สภาแห่งสหภาพและบรรษัทได้เข้าแทนที่สภานิติบัญญัติดั้งเดิม

– ต่างจากการเลือกตั้งก่อนหน้านั้น สิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไปของประชาชนถูกขจัดทิ้งหมด

– แทนที่รัฐสภาแบบเดิม สภาล่างประกอบไปด้วยบรรดาตัวแทนจากบรรษัทต่างๆ ซึ่งสะท้อนอุดมการณ์แบบบรรษัทนิยม

3) วิพากษ์ระบอบประชาธิปไตยรัฐสภา :

– ขบวนการฟาสซิสต์ทั้งหลายวิพากษ์วิจารณ์ระบอบประชาธิปไตยรัฐสภาตรงที่ปล่อยให้ภัยคุกคามของพวกมาร์กซิสต์คงอยู่สืบมา

– ตัวอย่างเช่น อดอล์ฟฮิตเลอร์เชื่อว่าประชาธิปไตยเซาะกร่อนบ่อนทำลายการคัดสรรตามธรรมชาติเพื่อให้ได้มาซึ่งชนชั้นนำผู้ปกครอง อีกทั้งทำให้มนุษย์ประสบความล้มเหลวโดยถาวร

#การแปรรูปและอิทธิพลทางอุดมการณ์ :

– แนวคิดบรรษัทนิยมดลบันดาลใจทั้งพรรคอนุรักษนิยม พรรคขวาจัดและพรรคฟาสซิสต์ รวมทั้งชนชั้นนำ เทคโนแครตบางภาคส่วนด้วย

– ระบอบเผด็จการทั้งหลายทั่วยุโรปและไกลโพ้นออกไปได้สร้างเหล่าสถาบันที่อยู่บนพื้นฐานหลักการบรรษัทนิยมขึ้นมาเพื่อให้ความชอบธรรมแก่ระบอบปกครองของตน

– การแปรรูปแบบยุโรปเหล่านี้ระบาดลุกลามไปสู่ทวีปละตินอเมริกาและเอเชีย ทิ้งร่องรอยอันมิอาจลบเลือนได้ไว้กับศตวรรษที่ยี่สิบ

 

กล่าวโดยสรุป ลัทธิบรรษัทนิยมพลิกโฉมโครงสร้างรัฐสภา นำเอารัฐสภาทางเศรษฐกิจมาใช้และท้าทายบรรทัดฐานประชาธิปไตยแบบดั้งเดิม

มันเป็นเครื่องมือเชิงสถาบันที่ทรงพลังซึ่งระบอบเผด็จการทั้งหลายใช้ระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่งกับครั้งที่สองแม้ว่าจะด้วยระดับจินตนิยมที่ผันแปรหลากหลายกันไป การที่ลัทธิฟาสซิสต์ปัดปฏิเสธระบอบประชาธิปไตยรัฐสภานั้นก็ตั้งเป้าที่จะสถาปนารูปแบบการแทนตนที่เป็นทางเลือกขึ้นมาในลักษณะที่เข้ากับวิสัยทัศน์อำนาจนิยมของตน”

อ่านทวนหลายรอบแล้ว ผมอดรู้สึกไม่ได้ว่าสภาอาชีพมีพงศาวลีแบบบรรษัทนิยมฟาสซิสต์ที่บ้าบอและเห็นแก่อำนาจฉิบหายเลยเชียวครับ