การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ จู่ๆ พวกใบแดงก็ปลิวพลัดหาย

[ฉันฝันถึงลำธารสีฟ้านั้นมานานครัน*(1)

ลำธารที่วาววับเหมือนกระจกอันแจ่มชัด เมื่อมองลงไปจากยอดเขาสีเขียว

มันคืบคลานอย่างอ้อยสร้อยไปยังสีแดงฉานของตะวันออก

และไม่ถอยหลังกลับมา แม้ลูกไฟดวงใหญ่นั้นจะถูกโยนจมหายลงไปในลาดผาอันสูงชันของตะวันตก

ลมหายใจสีเทาอ่อนของพื้นแผ่นดินชะอุ่มไปด้วยพุ่มพฤกษ์ลอยฟ่องอยู่เหมือนเรือสำราญที่ท่องไปตามธารกระจก

มันล่องไป และลับไป เมื่อหยาดน้ำค้างอันพรหมจรรย์กลับคืนขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์]

 

“อีพี่”

เสียงของพี่โฟเรียกฉันให้หวนคืนกลับมา…จากภาพฝันที่พร่างพร่า และสีเขียวของแนวป่าที่ผ่านไปอยู่วับๆ

รถบัสกำลังแล่นเร็ว จากทิศใต้ไปสู่ทิศเหนือ พ้นห่างถนนใหญ่ ไต่ขึ้นลงตามเส้นทางคดโค้ง

เพื่อจะไปสู่หมู่บ้านในแอ่งเขาเบื้องหน้า

“อะไรพี่?”

แค่เหลียวกลับไปนิดเดียว สาบกลิ่นเบาะหนังเข้าจมูก เสียงคนสูดขี้มูกดังครืดคราดอยู่ข้างหลัง

“มึงบอกมันว่ายังไง”

“ใคร”

“ก็อ้ายหนวดนั่นน่ะ เจ้านายของมึง”

“อ้อ”

ให้นิ่งไปพักหนึ่ง

 

เป็นพี่โฟที่ออกมายืนเขม้นตามอง เมื่อรถมอเตอร์ไซค์คันโก้จอดลง และฉันลงจากอานเบาะนั่น

เจ้าของร้านหนังสือยกมือแตะเบาที่หัวฉัน เกือบจะเบี่ยงหลบตามความเคยชิน แต่ก็แค่นึกได้…ไม่จำเป็นต้องหลบมือนั้นเลย

– กลับวันไหนก็บอกนะ

– ยังไม่รู้

– จะให้เฮียไปรับมั้ย ลงท่ารถไหน หรือว่า…จะให้เฮียเอารถไปส่ง

– ไปไม่ได้หรอก

ฉันบอกไปตามตรง

– อาจจะไม่ได้กลับมาอีกแล้วก็ได้

– ต้องได้สิ

พี่โฟเริ่มหรี่ตาอย่างสนใจมากขึ้น คงจะเห็นว่าคนมาส่งยังไม่ยอมออกไปสักที

– พี่ไปเถอะ

ฉันรีบบอกกับร่างสูงใหญ่นั้น

– เดี๋ยวพี่เขาจะสงสัย

ตามองฉันอย่างอาลัยอาวรณ์ เป็นสายตาชนิดที่ไม่คิดว่าจะมีจะเกิดได้ ซึ่งนั่นก็ทำให้ในอกเต้นแปลกๆ อยู่เหมือนกัน

แต่ก็เท่านั้นเอง สิ่งที่ดีสุดสำหรับฉัน คือใบแดงพวกนั้นต่างหาก

– อีพี่!

นั่นไง พี่โฟตะโกนเรียกแล้ว

 

[ฉันฝันถึงลำธารสีฟ้านั้นมานานครัน

ลำธารซึ่งแผ่ความชุ่มชื่นออกไปสองฟากฝั่ง อันคลุมไปด้วยหญ้าและรากไม้ใหญ่

ส่ำสัตว์จากหุบเหวและป่าลึกพากันออกมายามโลกปิดหน้าต่างนอน

เพื่อให้น้ำนั้นบำบัดความโหยหิวและชำระความโสมมที่ทวีขึ้นในความสว่าง…]

 

ฉันรู้ว่าพี่โฟจะต้องถาม เพราะนับจากวันที่ฉันได้ยินเสียงแก้วแตกแล้ว หลายต่อหลายคืน ที่ฉันกลับดึกดื่นเสมอมา

มีบางคืน ที่กลับมาตอนท้องฟ้ามีเพียงแสงจันทร์หรุบหรู่ ดาวทอแสงไกลๆ พี่โฟงัวเงียขึ้นมา และออกปากด่าตามความเคยชิน

– กลับมาแล้วรึอีแฮ่น!–

ทำยังกับว่าตัวเองไม่เคยแฮ่น อดยิ้มหยันไม่ได้ ใครกันเล่าที่นอนจมกองเลือดในหว่างขา ใครกันที่กว่าจะลุกมาเดินเหินเป็นผู้เป็นคนได้

ใครกัน ที่ซื้อข้าวซื้อน้ำมาให้ ตั้งแต่วันที่ป่วยไข้จนตัวซีดตัวผอมอย่างนั้น

กระทั่งถึงวันนี้ ที่ทรงตัวลุกมาได้แล้ว และจากหอพักมาถึงบนรถบัส เป็นฉันที่ควักเงินจ่ายให้กับทุกสิ่ง

“ว่ายังไง”

เสียงถามซ้ำ ทำไมฉันจะไม่รู้ว่า ความสงสัยเคลือบแคลงในสายตา มากกว่าคำพูดออกปากอีกหลายเท่า

“ก็ไม่ว่าไง บอกว่าถ้ากลับวันไหน ค่อยไปทำงานต่อ”

“กูถามจริงๆ เถอะอีพี่…” พี่โฟอ้าปาก

เท่านั้น ฉันก็เห็นลิ้นไก่นั้นดี และไม่อยากจะฟังมัน

“พี่ไม่ต้องถามหรอก คิดว่าจะเป็นยังไงก็เป็นยังงั้นแหละ”

พี่สาวร่วมพ่ออ้าปากค้าง ฉันไม่แน่ใจหรอกว่าที่กลอกกลิ้งอยู่ในตาคือความรู้สึกนึกคิดประเภทไหน รู้เพียงว่า ไม่อยากรับรู้อะไร มากไปกว่าบทกวีที่อยู่ในหัว

 

[ลําธารสีฟ้านั้นมีอยู่อย่างแน่นอน

เหมือนดวงดาว ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์

แต่อนาถ–มันเป็นแต่เพียงความฝันของฉันเท่านั้น

ความฝันที่ต้องภินท์พังลงไปทุกครั้ง…]

 

“พอแล้ว! พอเถอะ! อย่าทำหนูเลย!”

ฉันดิ้นรนอย่างสั่นไหว ท่ามเสียงของกระทบกันอยู่ถี่รัว ในห้วงความมืดดำอันล้ำลึก แหงนเงยหยัดเหยียดร่างกายเอนแอ่น มีกระแสไฟแล่นพล่านอยู่ในสายเลือด ปากขบจนสั่นระริก

ยินเสียงหอบหายใจของตนเอง และเสียงของอีกฝ่าย

“บอกเฮียมา! บอกเฮียมาอีก!”

“หนูไม่อยากท้องนะ!”

“ไม่ท้องหรอก ไม่ต้องกลัว เฮียทำหมันแล้ว”

“เฮียทำหนูทำไม! เฮียทำกับหนูทำไม!”

“หนูก็ชอบให้เฮียทำไม่ใช่หรือ!”

“ไม่ ไม่ได้ชอบ”

“ไม่ชอบได้ยังไง รัดเฮียแน่นขนาดนี้!”

“หนูไม่เคย…”

“อย่าโกหกเฮียเลยน่า หนูน่ะสลิดขนาดนี้!”

“ปล่อยหนูเถอะ…เฮีย ปล่อยหนูเถอะ…”

“พูดอีก…พูดกับเฮียอีก” เสียงกระซิบกระเส่าข้างหู “มึงเป็นของกูแล้วนะ อีลูกหมา!”

ฉันสั่นสะท้านขึ้นกับคำพูดเหล่านั้น แต่มันคงน้อยกว่าอีกฝ่าย คล้ายยิ่งร้อนเร่าแผดโหม อกเล็กๆ ของฉันแทบเหมือนถูกบิดขวั้น ผลไม้ใกล้จะแก่จัดขึ้นทุกที

…ทุกที

“…เฮียจะเต็มที่แล้วนะ!”

 

[เมษายนมาถึงอีกครั้งหนึ่งแล้ว

แผ่นดินที่แห้งผากเพราะขาดน้ำหล่อเลี้ยงก็ยังคงแห้งผากอยู่

เหมือนเมื่อวาน เหมือนเมื่อวันก่อนวันวาน

และเหมือนเช่นทุกวันที่เคยเป็นมา

จนดูเหมือนว่าไม่มีหน้าฝน ไม่มีหน้าหนาว

แต่มีหน้าร้อน และหน้าร้อนตลอดกาล]

 

“ปล่อยหนู…ปล่อยหนูเถอะ!!”

ฉันปล่อยเสียงดังก้องกรีดยาว ราวจะให้มันสะเทือนสะท้อนอยู่ชั่วนาตาปี

มันเป็นสิ่งที่…แค่ได้เรียนรู้ว่า พวกเขาจะชอบ หลายๆ คนชอบให้บอกเช่นนั้น และยิ่งคล้ายผลักไส แต่กลับควบคุมเลือดเนื้อไม่ได้

…ใบแดงจะปลิวมาดั่งห่าฝน

มีบอกไว้ ในหน้าหนังสือที่นายจ้างคอยสอดแทรกความลับ เรื่องราวที่ขีดเส้นใต้ ทุกๆ วัน ที่คอยกล่อมเกลาฉัน จนใกล้จะสุกงอมได้ที่

อย่างวันนั้น

อย่างในขณะนี้

 

ให้ตายเถอะ ทั้งๆ ที่ยังนั่งอยู่ข้างตัวพี่โฟ และบทกวียังหลากไหลอยู่ในหัวที่โง่งม

[ครั้งหนึ่ง แม่เคยสอนฉันว่ามะม่วงผลที่อร่อยที่สุดนั้นย่อมอยู่บนยอดต้น

เราจะนั่งคอยอยู่ใต้ต้นเพื่อให้มะม่วงผลนั้นหล่นลงมาหาเรานั้นหาได้ไม่

เมื่อเราปรารถนา เราย่อมจะต้องป่ายปีนขึ้นไปเด็ดมันลงมา

แต่จะต้องเสี่ยงต่อการกัดของมดที่เฝ้าแหน และการพลาดพลั้งที่จะตกลงมายังที่เดิม

แต่ฉันจะไม่เดินไปหาลำธารสายนั้น

แม้ฉันจะฝันถึงมันมาเป็นเวลานานนับปี

ฉันจะไม่รอคอยให้ลำธารสายนั้นไหลมาดับความแห้งแล้งที่เกิดขึ้นรอบร่าง

แม้ฉันจะทนทรมานมานับครั้งไม่ถ้วน…]

 

ให้ตายเถอะ! นี่คือธาตุแท้ของตัวฉัน หรือมันคือการเริ่มต้นของนรกขุมใหม่ๆ ทั้งที่พี่โฟนั่งสัปหงกอยู่ใกล้ๆ หัวสะเทือนไปตามความขรุขระของถนนที่เริ่มทอดลงต่ำ ในความอึงอลของบทกวี กับสิ่งที่ยังติดอยู่ในห้วงสำนึก

ระลึกถึงใบหน้าที่ลอยอยู่เหนือใบหน้า ก่อนจะยิ้มพรายในดวงตาวาวโรจน์ไสวสว่าง ร่างแนบร่าง ผิวสองสีตัดกันอย่างเด่นชัดในม่านแสงยามบ่าย

จู่ๆ พวกใบแดงก็ปลิวพลัดหาย ฉันเสียดร้าวเข้าในก้นบึ้งกับความรู้สึกหวานแหลมแสบสันต์ ดั่งมีด ดั่งการลงทัณฑ์ แต่ก็ดั่งถูกป้อนด้วยรสหวานอัดแน่นเข้าเต็มโพรงปาก

ฉันต้องพยายามอย่างมากที่จะสะกดตัวเองไม่ให้ขาสั่น

 

[และฉันจะไม่ฝันถึงลำธารสีฟ้านั้นต่อไป

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

เพราะฉันรู้แล้วว่าฉันจะได้ลำธารสีฟ้านั้นมาได้อย่างไร]

นี่มันอะไรกัน! ฉันคิดถึงห้วงเวลาเหล่านั้นอีกทำไม…ฉันคิดถึง…แม้แต่กลิ่นเหงื่อบนไหล่ ที่ขบกัดลงไปจนเต็มเขี้ยว


————————————————————————————
(1) บทกวีของ ราช รังรอง จากเล่ม ขอบกรุง