รู้ชีวิต…ด้วยดวงดาว คุยกันโดย “ศ. ดุสิต” อ่านอนาคตของคุณไม่ยากหรอก…แค่รู้จักดาว 10 ดวงเท่านั้น! เรื่องลึกในโหราศาสตร์ไทยชุด “คลังโหร”

รู้ชีวิต…ด้วยดวงดาว/คุยกันโดย “ศ. ดุสิต”

อ่านอนาคตของคุณไม่ยากหรอก…แค่รู้จักดาว 10 ดวงเท่านั้น!

เรื่องลึกในโหราศาสตร์ไทยชุด “คลังโหร”

จ้าวไตรภพ

เห็นหัวเรื่องนี้แล้ว บางคนอาจปล่อยก๊ากออกมาก็ได้ เพราะคิดว่านี่ผมจะเอาลิเกมาเปิดในบ่อนโหรารึยังไง

ไม่ใช่หรอกครับ มันเป็นเพราะผมเคยเขียนเรื่องชื่อเดียวกันนี้แหละเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว

เป็นเรื่องนิทานสำหรับเด็ก แต่ตอนนั้นผมใช้นามปากกาว่า “ดุสิตา” เป็นเรื่องของภพสำคัญสามภพในโลกอันเป็นชีวิตของมนุษย์นี้ นั่นคือภพแห่งสวรรค์, ภพแห่งมนุษย์, ภพแห่งอบาย (หรือนรกนั่นแหละ)

ไตร แปลว่าสาม ภพ ในที่นี้ก็คือเรือนชาตาที่อยู่ในราศีจักรทั้ง 12 เรือนที่เรารู้กันอยู่แล้วนี่เอง ส่วน จ้าว นั้นหมายถึงความยิ่งใหญ่

ดังนั้น จ้าวไตรภพ จึงหมายถึง สามภพที่ยิ่งใหญ่ นั่นเอง

ภพอะไรมั่งล่ะ ที่ถือว่ายิ่งใหญ่น่ะ?

ภพทั้งสามนั้นก็คือ ศุภะ, กัมมะ, ลาภะ ครับ

โอ๊ย-เค้ารู้กันมานานแล้วละลุง ทำไมเพิ่งมาบอกเอาตอนนี้ล่ะ ใครมั่งที่ไม่รู้จักสามภพนี้ ไม่มีหรอก ทุกคนรู้จักกันทั้งนั้นแหละ แล้วมันสำคัญยังไงถึงจะต้องมาเน้นบอกเอาตรงนี้ด้วยล่ะ?

ใช่ครับ ทุกคนรู้จักสามภพนี้กันหมดแล้วทั้งนั้น แต่ก็มีอีกหลายคนที่แค่เพียง “รู้จัก” ไม่ได้ “รู้จริง” หรอก ที่ผมจะมาฝอยให้ฟังนี่น่ะก็เพื่อจะขยายความหมายของภพให้คุณได้รู้จริงขึ้น เพื่อการใช้งานพยากรณ์จะได้ง่ายขึ้นสะดวกขึ้นไงล่ะ

เอาภพ “ศุภะ” ก่อนก็แล้วกัน

เรารู้กันอยู่แล้วว่า ศุภะมีความหมายถึงความก้าวหน้า ความเจริญรุ่งเรือง ฯลฯ แต่แทบทุกคนมักจะมองไปถึงความก้าวหน้าที่ใหญ่ๆ เช่น การเป็นนายพล การได้ยศได้ตำแหน่งสูงๆ หรือความร่ำรวยจัดๆ ก็ไม่ผิดหรอกกครับที่คิดเช่นนี้ เพราะนั่นก็คือศุภะเหมือนกัน

แต่ทุกคนก็มักจะลืมไปถึงศุภะที่เล็กๆ เช่น การเป็นไข้แล้วหายจากไข้ นี่ก็ศุภะเหมือนกัน ขายข้าวแกงหาบเร่อยู่ แต่ตอนนี้เช่าแผงได้ก็ย้ายมาตั้งขายบนแผงนั้น นี่ก็ศุภะ

สิบตรีได้เลื่อนเป็นสิบโท ก็ศุภะ ฯลฯ

นี่แหละครับ เหล่านี้แหละที่พวกเราไม่ได้นึกถึงคำว่าศุภะ เพราะเห็นว่ามันจิ๊บจ๊อยเกินไป

แล้วยังไง?

ก็ไม่ยังไงหรอกครับ ผมเพียงแต่จะมาบอกให้พวกเราเข้าใจกันให้ดีว่า สภาวะใดที่มันเขยิบขึ้นจากเดิม หรือที่เรียกว่า “ดีขึ้น” จากเดิมนี่น่ะ ให้เรากำหนดลงไปเลยว่าเป็นเรื่องของศุภะ

ไม่ว่าเรื่องนั้นจะจิ๊บจ๊อยหรือใหญ่โตแค่ไหน ถ้าเป็นการที่ดีขึ้นกว่าเดิมก็ให้มองไปที่ภพศุภะเท่านั้น

เพราะอะไร?

เพราะภพศุภะมีหน้าที่ครอบคลุมในเรื่องนี้ทั้งหมด เป็นจ้าวใหญ่ในเรื่องนี้โดยเฉพาะ การคิดอย่างนี้จะทำให้เวลาพยากรณ์เราจะจับจุดพยากรณ์ได้เร็วขึ้น ไม่ต้องไปนึกหาจุดว่าจะดูที่ตรงไหน

เช่น ถ้าใครมาถามถึงเรื่องที่เขาต้องการจะ “ดีขึ้น” ไม่ว่าจะด้านไหน คุณก็ไม่ต้องไปมองหาที่อื่นหรอก มองที่ภพศุภะกับดาวศุภะนั่นแหละเป็นตัวการ

“สิ้นปีนี้ผมจะได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการไหม?”

“ผมอาศัยบ้านเพื่อนอยู่ ตอนนี้กำลังหาบ้านเช่าเพื่อไปอยู่เอง ผมจะทำได้ไหมครับ?”

ทั้งสองเรื่องนี้คือเรื่องเดียวกัน คือการที่เจ้าชาตาต้องการที่จะ “ดีขึ้น” ในชีวิตของเขา ดังนั้น จุดแรกที่เรามองหาเพื่อพยากรณ์ก็คือ “ศุภะ” นี่แหละ

แต่แน่นอนละครับ เราไม่อาจใช้ศุภะตัวเดียวเป็นตัวตัดสินหรือฟันธงได้หรอก จะต้องมีองค์ประกอบอื่นมาช่วยหนุนด้วยจึงจะทำให้การพยากรณ์ถูกต้องได้ผลดีขึ้น แต่เราก็มีหลักหรือมีตัวยืนอยู่แล้วโดยไม่ผิด นั่นก็คือ…ภพศุภะหรือดาวศุภะอย่างที่ว่านั่นเอง

พูดง่ายๆ ก็คือ การรู้จักความหมายและการใช้ภพให้ถูกต้อง นั่นก็คือการพยากรณ์ที่รวดเร็วและไม่ยุ่งยาก เหมือนคุณกลัดกระดุมเม็ดแรกได้ถูกต้อง เม็ดต่อไปก็ย่อมไม่ผิดนั่นแหละ

ทําไมผมถึงบอกว่า สามภพนี้เป็น “จ้าว” หรือเป็นใหญ่ที่สุดในเรือนชาตาล่ะครับ?

เพราะว่าทั้งสามภพนี้เป็นหลักของชีวิตนั่นเอง

ทุกชีวิตต้องการความ “ดีขึ้น” กันทั้งนั้น ทุกชีวิตจะต้องมี “การกระทำ” หรือ “การงาน” กันทั้งนั้น

ต่อให้คนขี้เกียจสันหลังยาวงานการไม่ยอมทำ ก็ยังมีการกระทำของตนเองทั้งดีและชั่ว เพราะมันเป็น “กัมมะ” นี่ครับ และอีกหนึ่งก็คือ ทุกชีวิตย่อมมี “ความหวัง” และความต้องการมี “โชคลาภ” ในชีวิตด้วยกันทั้งนั้นอีกเหมือนกัน

ทั้งสามภพนี้จึงเป็นใหญ่ ที่ว่าเป็นใหญ่ก็เพื่อให้ผู้ที่เป็นนักศึกษามือใหม่ได้รู้และจดจำง่ายขึ้นว่า มันเป็นภพที่ผูกพันกับชีวิตของมนุษย์ทุกคน เวลาพยากรณ์จะได้จับจุดถูกเร็วขึ้น เพียงแต่ฟังคำถามที่ลูกค้าถามมาว่าอยู่ในเรื่องแบบไหน ศุภะหรือกัมมะหรือลาภะ เข้าแบบไหนก็จับเอาดาวตัวนั้นมาตรวจดูได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาค้นหาอีก

แต่ก็มีเหมือนกันที่บางครั้งมือใหม่เจอกับคำถามที่จับจุดพยากรณ์ไม่ถูก ทำให้เกิดพะวักพะวนซัดส่ายหาที่ลงไม่ได้ว่าจะเอาจุดไหน

เช่น–

“ผมทำงานอยู่ที่บริษัท ก. ในตำแหน่งผู้จัดการ ได้เงินเดือน เดือนละหกหมื่น แต่ตอนนี้ทางบริษัทกำลังมีกรณีพิพาทกับคู่สัญญาซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ และมีแนวโน้มว่าทางบริษัทจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบอาจถูกเลิกสัญญาซึ่งมีมูลค่านับพันล้านบาท อันเป็นเหตุให้ถึงกับบริษัทล้มได้ แต่มีบริษัท ข. ซึ่งมีความมั่นคงมาติดต่อชวนให้ผมไปทำงานฝ่ายประชาสัมพันธ์ ให้เงินเดือนห้าหมื่น โดยกำหนดว่าให้ตกลงใจไม่เกินสิ้นเดือนนี้ ผมควรจะเอายังไงครับหมอ?”

คำถามทำนองนี้นักพยากรณ์จะพบได้บ่อยๆ ในสนาม ซึ่งเป็นคำถามที่นักพยากรณ์มือใหม่กลุ้มใจจนต้องมาถามผมกันหลายคน คือแกไม่รู้ว่าจะจับเอาจุดไหนมาเป็นตัวหลักในการพยากรณ์นั่นเอง

แล้วคุณล่ะ? ถ้าเป็นคุณจะให้คำพยากรณ์หรือคำแนะนำแก่ลูกค้าในแบบใด?

คำถามที่สร้างความสับสนนี้ เป็นเพราะเราไม่อาจจะจับ “จุด” หลักที่จะพยากรณ์ได้นั่นเอง จะจับเอา ศุภะ มันก็ไม่ใช่เรื่องของศุภะซักหน่อย เรื่องนี้มันไม่ได้ก้าวหน้า แต่มันกลับจะถอยหลังเอาเสียด้วยซ้ำ ก็เมื่อมันเป็นเช่นนี้เราจะเอายังไงกะมันดีล่ะ?

แน่ละ, ที่มือใหม่ต้องงง แม้แต่มือโปรก็อาจจะงงด้วยเหมือนกันถ้าคิดไม่ทัน

คิดไม่ทันเรื่องอะไร?

ผมขอแนะนำให้พวกเราได้รู้กันไว้และจำไว้ให้ดีด้วยว่า ถ้าเจอปัญหาหรือคำถามแบบนี้ เราต้องหาทันทีว่าคำตอบที่ต้องการนั้นมันคืออะไร ต้องจับตรงนี้ให้ได้เสียก่อนไม่งั้นคุณจะทายไม่ออกเพราะหาจุดพยากรณ์ไม่ได้

ในคำถามตัวอย่างนี้ถ้าจะจับจุดของเรื่อง คุณก็ต้องรู้ว่า “จุด” หรือ Point ของเรื่องนี้คือ “ความเปลี่ยนแปลง”

ซึ่งคำตอบของมันเป็นคำตอบของ “ปัจจุบัน”

ฉะนั้น ถ้าเราไปเพ่งเอาที่ “ดวงเดิม” ของเจ้าชาตาละก็ เพ่งจนผมหงอกก็ยังหาคำตอบที่ดีไม่ได้

เพราะคำตอบที่ถูกต้องนั้นมันอยู่ที่ภาวะในปัจจุบันของเขา ดวงเดิมบอกในเรื่องนี้ไม่ได้ ดวงเดิมเป็นแต่เพียง “มาตรฐาน” ที่จะรองรับดวงในปัจจุบันของเขาเท่านั้น เพราะฉะนั้น คำตอบในเรื่องนี้จึงอยู่ที่ “ดวงจร”

ก็ดวงจรประจำปีของเขานั่นแหละ

จะตอบคำถามแบบนี้ก็ต้องทำ “ดวงจรประจำปี” ของเขาขึ้นมา แล้วหาคำตอบเอาจากดวงนั้น เพราะนั่นคือชีวิตในขณะนี้ของเขา แต่ปัญหาอาจมีอีกคือ–

จะเอาดวงจรแบบไหนล่ะ? ดวงจรมีตั้งหลายแบบ

ดวงจรแต่ละแบบต่างก็มีประโยชน์สูงสุดในการพยากรณ์แต่ละอย่างของตัวเอง แม้ว่าจะนำเอามาพยากรณ์ในบางเรื่องก็พอจะอาศัยกันไปได้ก็ตาม

แต่ถ้าเราหาแบบที่ตรงกับตัวเรื่องได้มากที่สุดก็เป็นการดี

ดังในตัวอย่างที่ยกมานี้เป็นเรื่องที่หาคำตอบไม่ง่ายนัก เพราะฐานคำถามกว้างมาก และเจ้าชาตาก็มอบให้ผู้พยากรณ์เป็นผู้เลือกทางเดินของชีวิตในตอนนี้ให้เขาเสียด้วย เราเป็นผู้พยากรณ์ก็จำต้องหาทางเลือกให้เขา

นั่นก็คือการเลือกว่าจะเอาสูตรดวงจรแบบไหนมาดูให้เขาเพื่อหาคำตอบที่ดีที่สุด อันนี้เป็นเรื่องของความถนัดที่แต่ละคนมีอยู่ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ใครถนัดแบบไหนก็เอาแบบนั้น แต่แบบที่ผมเห็นว่าเข้ากับเรื่องอย่างนี้ดีกว่าเพื่อนก็คือ–

ดวงจรแบบ “เกณฑ์พิณจักร” ครับ

เนื้อที่ไม่เหลือแล้ว ไว้ฉบับหน้าผมจะบอกวิธีสร้างเกณฑ์พิณจักรนี้ให้พวกเราได้รับรู้กันต่อไป อย่าพลาดนะครับ