คือความหวัง ความตั้งใจ และความคิดที่ว่าการเป็นเอเชี่ยน สตาร์ ไม่ต้องไปฮอลลีวู้ดหรอก-ยาก!!

เคยผ่านช่วงคึกที่รับงานละครยาวทีเดียว 2 เรื่อง จนต้องใช้ชีวิตในกองถ่ายสัปดาห์ละ 7 วัน เพื่อทำงานโดยไม่มีวันหยุดมาแล้ว มาถึงตอนนี้ ป้อง ณวัฒน์ กุลรัตนรักษ์ เลยขอปรับโหมดใหม่ โดยว่า ถ้าเป็นไปได้ก็จะหลีกเลี่ยงสภาพนั้น

“เพราะมันไม่มีเวลาไปทำอะไรกับชีวิตเลย” เขาให้เหตุผลกึ่งโอดครวญ

แล้วจึงว่า ด้วยเหตุนั้น งานที่มีในตอนนี้จึงเป็นการถ่ายทำละครเรื่อง “กาหลมหรทึก” กับซิทคอม “ศึกรักข้ามรั้ว” ซึ่งเรื่องแรกนั้นใช้คิวของเขา 3 วันต่อสัปดาห์ ส่วนเรื่องหลังใช้ 2 วัน สัปดาห์เว้นสัปดาห์ จึงพอทำให้ได้พัก พร้อมอาจจะพอมีเวลาไปรับงานที่ประเทศจีน ซึ่งมีฐานแฟนคลับอยู่ไม่น้อยบ้าง

กับการแสดงที่ทำมาราวๆ 16 ปี ป้อง บอกว่าเขาได้สวมมาหลายบทบาท ซึ่งไม่ว่าจะเป็นบทไหนเขาก็ทุ่มเทและมีความรู้สึกว่าสนุก น่าสนใจไปเสียทั้งนั้น

อย่างไรก็ตาม ในบรรดาบทต่างๆ ดังว่า บท “คนเจ้าชู้” ดูเหมือนจะได้รับการตอบรับดีที่สุด

“ไม่รู้ทำไม”

“กระแสตอบรับมักดี ตั้งแต่สมัย “สงครามนางฟ้า” ที่ต้องเล่นเป็นพระเอกเลวๆ หน่อย” เขาพูดพลางหัวเราะ นัยน์ตาพราว

ป้องในวัย 39 ปี ยังบอกอีกว่า ความที่ปัจจุบันเขา “โตแล้ว ไม่ใช่เด็กวัยรุ่น” เวลาได้รับการติดต่อ จึงนอกจากจะดูคิวว่าว่างพอไหมแล้ว เรื่องตัวงานและบทก็เป็นสิ่งสำคัญที่ขอพิจารณา

“ต้องดูด้วยว่ามันเหมาะกับเราหรือเปล่า จะไปมุ้งมิ้งมากก็ไม่ใช่แล้ว”

“แก่แล้ว” เขาย้ำ ก่อนจะหัวเราะคล้ายจะเขิน เมื่อคนรอบข้างที่ได้ยินบทสนทนาพากันแย้ง แล้วยืนยันว่า ออกจะหล่อ

อย่างไรก็ตาม กับงานที่แม้จะพยายามเลือกรับนั้น เขาว่าบางครั้งบทที่ได้ก็ไม่แตกต่างมากนัก

“เอาตรงๆ นะ บทละครไทยหลังข่าวมันก็มีอยู่แค่นี้แหละ”

แบบที่เราๆ เองก็คงเห็นจนคุ้นตา

แต่ว่านั่นไม่ใช่กับ “กาหลมหรทึก” อันเป็นเรื่องราวการไขคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง งานที่สร้างจากนวนิยายของ “ปราปต์” หรือ ชัยรัตน์ พิพิธพัฒนาปราปต์ ซึ่งคว้าหลายรางวัลมาครอง ทั้งนวนิยายยอดเยี่ยม ประจำปี 2557 รางวัลนายอินทร์อะวอร์ด, รางวัลชมเชยการประกวดหนังสือดีเด่นของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปี 2558, รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด รองชนะเลิศอันดับ 2 ปี 2558 ด้วยบทในเรื่องนี้ “ฉีกและโหด และต่างจากที่เล่นมามากๆ”

“รู้สึกดีใจที่เล่นเรื่องนี้ เพราะว่าเป็นละครไม่แนวตลาด ผู้สร้าง ผู้จัด คนเขียนบท เขาก็รู้ว่าทำไปก็เสี่ยง จะมีคนดูหรือ เพราะมันไม่ใช่แนวที่ตบตี แต่มันเป็นละครที่เจ๋ง เหมือนเราดูซีรี่ส์ฝรั่งเลย”

อีกทั้งงานชิ้นนี้มีการขายสิทธิ์ให้บริษัทซึ่งจะนำออกฉายให้ผู้ชมทั่วโลกได้ดูผ่านช่องทางโซเชียลเน็ทเวิร์ก ดังนั้น “มาตรฐานคือคนต่างชาติดู ก็ต้องไม่โง่นะ โปรดักชั่นไม่โง่ มุมถ่าย เฟรมกล้อง ตั้งใจมาก”

ในฐานะนักแสดงซึ่งรับบทนำ เขาบอกด้วยว่างานชิ้นนี้คือ งานยาก หากก็รู้สึกว่ามีเสน่ห์ ท้าทาย

“อย่างเล่นละครตบตี แย่งผัว เมีย เรารู้เส้นอยู่แล้วว่าต้องเล่นยังไงให้ดี เล่นยังไงให้สนุก ให้คนชอบ ไปอ่านบทหน้ากองยังได้เลย แต่เรื่องนี้ไม่ได้นะ มันจะงง เพราะว่าซับซ้อน”

ซับซ้อนจนเขาอดถามผู้กำกับฯ วรวิทย์ ขัตติยโยธิน ไม่ได้ ว่าคนดูจะดูรู้เรื่องไหม

นี่ไม่ได้ดูถูกหรืออะไรนะ ป้องออกตัว เพียงแต่เท่าที่ได้ยินมาจะมีคนดูละครซึ่งมีพฤติกรรมแบบเปิดทิ้งไว้ แล้วดูไปทำงานไป ก็ยังสามารถตามเรื่องได้ทัน

“แต่เรื่องนี้ไม่ได้ มันต้องโฟกัส ต้องมีสมาธิ เพราะเนื้อเรื่องยากใช้ได้เลย แต่ว่าดีและเท่”

เรื่องยากที่เจอเลยไม่มีปัญหา “เล่นไปก็ทำใจไป” ว่าพลางยิ้ม

กับงานในอนาคต ป้องบอกว่าเขาไม่ชอบวางแผนระยะไกล เพราะเกรงจะดูเป็นการเพ้อเจ้อ

“แค่ปีต่อปี แต่ดูความเป็นไปได้ด้วย ไม่ใช่บอกว่าปีหน้าจะไปฮอลลีวู้ด มันก็ตลก เราพยายามดูแนวโน้มตัวเองในแง่ความเป็นไปได้”

เหมือนที่ก้าวไปจีนนั้นก็คือดูอย่างมั่นใจแล้ว

“เราเห็นจีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น ไต้หวัน เห็นการสลับพระเอก นางเอก ก็คิดว่าอยากจะยกให้เมืองไทยไปอยู่ในจุดนั้นได้บ้าง เอาดาราไปอยู่ในสเต็ปนั้นให้”

ดังนั้น การได้ไปเล่นละครจีนที่นางเอกเป็นคนเกาหลี ฮันแชยอง จึงแฮปปี้นัก

“การเป็นเอเชี่ยน สตาร์ ผมว่าเราไม่ต้องไปฮอลลีวู้ดหรอก ยาก ด้วยหน้าตาเราเอเชีย แต่เขาก็ต้องฝรั่งอยู่แล้ว”

“แล้วอย่างหนัง “ฉลาดเกมส์โกง” อันนั้นดีมาก อยากให้มีโปรดักชั่นงานดีๆ แบบนี้ออกมาเยอะๆ ยิ่งถ้าเราเป็นส่วนหนึ่งในนั้นด้วยก็จะยิ่งดี”

ทั้งนี้ เขายังบอกด้วยว่าถ้าสิ่งที่คิดเป็นไปได้ เขาก็จะทำงานที่นั่น ที่โน่นไป โดยไม่ทิ้งงานที่นี่คือในเมืองไทยแน่นอน

“อย่างคราวก่อนตอนไปถ่ายละครที่จีนก็ต้องบินไปกลับ ก็โอเค รวมๆ ก็ยัง 6 เดือนอยู่ไทย 6 เดือนอยู่จีน สลับดู ถ้าลงตัวก็ดี”

“เพราะถ้าทิ้งที่นี่ไปก็จะเหงา เพราะว่าเราก็เป็นคนไทย”