ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 19 - 25 เมษายน 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | กาแฟดำ |
ผู้เขียน | สุทธิชัย หยุ่น |
เผยแพร่ |
กาแฟดำ | สุทธิชัย หยุ่น
ไทยจะ ‘ทะเยอทะยาน’
เป็น Peace Broker พม่าอย่างไร?
ประเทศไทยเป็น Peace Broker หรือเป็น “โบรกเกอร์สันติภาพ” ให้เมียนมาได้ไหม?
หลายคนบอกว่าควรทำ
แต่ต้องทำตัวให้พร้อม
เพราะวิกฤตพม่ามีความสลับซับซ้อนเกินกว่าที่จะเพียงแต่อาศัย “บุญเก่า” ของเราในการพยายามจะช่วยเพื่อนบ้านและอาเซียนสร้างสันติภาพ
เพราะที่สำคัญ การจะเป็น Peace Broker เฉยๆ ไม่ได้ ต้องมีคุณสมบัติพิเศษคือต้องเป็น Honest Peace Broker
คือต้องเป็น “คนกลาง-นักไกล่เกลี่ย” ที่ “ซื่อสัตย์”
หมายความว่าจะต้องไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง
ไม่ “รับงาน” ใครมา
การจะเป็น Honest Peace Broker นั้นไม่ใช่เพียงแค่เรามุ่งมั่นตั้งใจทำหน้าที่อย่างจริงใจและจริงจังเท่านั้น
ที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าการตั้งใจจริงก็คือการจะต้องทำให้ทุกฝ่ายเห็นว่าเรา “ตรงไปตรงมา” ด้วย
ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
ทั้ง on the record และ off the record
ทั้งของจริงจากข้างในและความประทับใจจากข้างนอก
คือทั้ง Reality และ Perception
ตอนนี้ไทยเรายังไม่ได้ทั้งสองอย่าง
ในแง่เนื้อหาสาระของการจะทำให้เรามีบทบาทเป็น “โบรกเกอร์สันติภาพ” จริงยังมีการบ้านต้องทำอีกมากนัก
เพราะเราต้องสามารถเชื่อมต่อกับทุกฝ่าย
อย่างน้อยก็มีตัวละครหลักๆ ภายในประเทศเมียนมาเอง 3 กลุ่ม
คือ SAC, NUG และ EAOs
กลุ่มแรกคือกองทัพพม่า State Administration Council ภายใต้มิน อ่อง ลาย ที่ปกครองประเทศอยู่ขณะนี้หลังก่อรัฐประหารเมื่อกว่า 3 ปีก่อน
NUG คือ National Unity Government หรือรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ ซึ่งก็คือรัฐบาลพลัดถิ่นที่ส่วนใหญ่มาจากนักการเมืองพรรค NLD ของออง ซาน ซูจี ที่ถูกโค่นอำนาจไปทั้งๆ ที่ได้รับเลือกจากประชาชนอย่างท่วมท้น
กลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธ หรือ Ethnic Armed Organizations (EAOs) มีหลากหลายกลุ่มที่อาจจะไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในทุกๆ เรื่อง
และเผลอๆ บางครั้งก็ยังมีทั้งการแข่งขันและความขัดแย้งกันอยู่เป็นเนืองๆ
อีกทั้ง NUG กับ EAOs ต่างๆ ก็มิใช่ว่าจะมีความเป็นเอกภาพเสมอเหมือนกัน
แถมยังอาจจะมีเรื่องไม่ลงรอยกันในหลายๆ ประเด็นด้วยซ้ำ
นี่คือ “สามก๊ก” ที่อาจารย์สุรชาติ บำรุงสุข ระบุว่ามีความสำคัญที่ไทยเราจะต้องสามารถเข้าถึง, เชื่อมต่อ และสร้างความเชื่อมั่นให้ได้…หากเราต้องการจะมีบทบาทในการสร้างสันติภาพ
ที่ท้าทายสำหรับภารกิจของ “โบรกเกอร์สันติภาพ” ไม่ได้จำกัดแค่ 3 กลุ่มนี้เท่านั้น
ตัวละครข้างนอกโดยเฉพาะที่เป็นเพื่อนบ้านของเมียนมาเหมือนไทยเราก็มีประเทศยักษ์ๆ ของเอเชีย
คือจีนและอินเดีย
รวมถึงบังกลาเทศและ สปป.ลาว (ซึ่งปีนี้เป็นประธานหมุนเวียนของอาเซียนด้วย)
และต้องไม่ลืมว่าไทยเราจะเดินเรื่องนี้โดยไม่ชูธงของอาเซียนไม่ได้เลย
โดยเฉพาะ “ฉันทามติ 5 ข้อ” หรือ 5-Point Consensus ที่จะต้องเป็น “เสาหลัก” ที่จะต้องเป็นแกนสำคัญของการแสวงหาทางออกให้กับเมียนมา
หากไทยจะเป็น “คนกลาง” อย่างแข็งขัน (แม้จะไม่ต้องประกาศอย่างเป็นทางการ) ก็ต้องเชื่อมต่อกับเพื่อนบ้านของพม่าทั้งหมดให้เห็นพ้องต้องกันที่จะเดินไปในทิศทางเดียวกัน
ตัวละครนอกภูมิภาคที่มองข้ามไม่ได้คือสหรัฐและสหภาพยุโรป (ซึ่งยังมีมาตรการคว่ำบาตรต่อพม่าที่ไม่ผลกระทบต่อเราทั้งทางตรงและทางอ้อม)
และที่ลืมไม่ได้เป็นอันขาดคือรัสเซียซึ่งมีความสนิทแน่นแฟ้นไม่น้อยกับรัฐบาลทหารพม่าวันนี้
ล้วนคือ “ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย” ที่สำคัญสำหรับสูตรสันติภาพใดๆ ที่จะเกิดขึ้น
ความจริงรัฐมนตรีต่างประเทศจีน หวัง อี้ และที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของทำเนียบขาว เจ็ก ซัลลิแวน ก็มาพบกันอย่างไม่เป็นทางการที่กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้
หนึ่งในหัวข้อที่ได้แลกเปลี่ยนกับนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน และรองนายกฯ กับรัฐมนตรีต่างประเทศไทย ปานปรีย์ พหิทธานุกร คือเรื่องพม่า
หากไทยเราวางตำแหน่งให้ถูกต้อง น่าเชื่อถือ เป็นที่ยอมรับของ 2 มหาอำนาจระดับโลก ก็น่าที่เราจะเล่นบท “ผู้อำนวยความสะดวก” (Facilitator) ในกระบวนการแสวงหาสันติภาพได้
เหล่าบรรดา “ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย” หรือ Stakeholders เหล่านี้ย่อมเห็นตรงกันประเด็นหนึ่งว่าไทยเป็น “ด่านหน้า” ของวิกฤตพม่า
นอกจากจะมีเส้นพรมแดนร่วมกับพม่ายาวกว่า 2,400 กิโลเมตรแล้ว ไทยกับเมียนมาก็ยังมีความสัมพันธ์ในมิติต่างๆ อย่างลึกซึ้ง, กว้างขวางและซับซ้อนกว่าเพื่อนบ้านอื่นใด
เราคือ “ผู้มีส่วนเสีย…มากกว่าส่วนได้” หากวิกฤตนี้ยังลากยาวต่อไปโดยไม่รู้ว่าจะจบอย่างไร
หรือจะกลายเป็น “ระเบิดลูกใหญ่” ที่จะสร้างความเสียหายให้กับภูมิภาคนี้มากกว่าที่เห็นอยู่ทุกวันนี้หรือไม่อย่างไร
แต่การจะเล่นบทบาทเป็น “โบรกเกอร์สันติภาพ” ได้นั้น ไทยต้อง “จัดบ้านตัวเอง” ให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเสียก่อน
เพราะวันนี้ ภายในบ้านเราเองยังไม่รู้ว่ารัฐบาลเศรษฐามีนโยบายต่อพม่าที่เป็นรูปธรรมอย่างไร
แนวทางส่วนใหญ่ที่จับต้องได้ก็ยังมีความละม้ายกับของรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งต้องถือว่าล้มเหลว
เพราะเพียงแค่ถูกมองว่ากองทัพไทยกับกองทัพพม่าของมิน อ่อง ลาย มีความสนิทชิดเชื้อกันเป็นพิเศษ
และทุกรายละเอียดของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศถูกพิจารณาจากแง่มุมทางทหารและความมั่นคงเป็นหลักโดยที่การทูตในยุคนั้นกลายเป็นเพียงเครื่องมือของรัฐบาลที่เน้นหนักไปในมิติทางทหารเท่านั้น
ซ้ำร้าย เพื่อนของเราในอาเซียนบางประเทศโดยเฉพาะอินโดนีเซีย, มาเลเซียและสิงคโปร์กับฟิลิปปินส์มองว่าไทยเรา “ถูกมิน อ่อง ลาย ใช้เป็นเครื่องมือ” สร้างความชอบธรรมให้กับการก่อรัฐประหาร
ความน่าเชื่อถือของไทยก็ถูกจัดอยู่ในลำดับ “ติดลบ” ขึ้นมาทันที
วันนี้ยังไม่แน่ชัดว่ากระทรวงการต่างประเทศภายใต้การนำของคุณปานปรีย์ได้เรียกฟื้นคืนความเป็นตัวของตัวเองในสมการแห่งการกำหนดนโยบายต่อเพื่อนบ้าน, อาเซียนและระดับสากลได้มากน้อยเพียงใด
เพราะตราบเท่าที่โครงสร้างของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ยังหนักไปทางด้านตัวแทนจากความมั่นคงเท่านั้นก็ยังหวังไม่ได้เราจะมีกลไกการวิเคราะห์, ประเมินสถานการณ์ และการระดมความคิดอ่านที่กว้างขวางและครอบคลุมมากเพียงพอที่จะทำให้ทุกองคาพยพของรัฐบาลเดินไปในทิศทางยุทธศาสตร์เดียวกันได้
เมื่อเราไม่เห็นนายกฯ เศรษฐาให้ความสนใจประเด็นการเมืองและความมั่นคงรอบบ้านเราเพียงพอ
และเมื่อรัฐบาลดูเหมือนจะหวาดหวั่นต่อการ “ปฏิรูป” กลไกรัฐเราจึงยังไม่อาจจะหวังว่าเราจะได้เห็นการ “จัดระเบียบบ้านใหม่” เพื่อให้เรา “กลับสู่เรดาร์โลก” อย่างแท้จริง
เพราะการที่เราจะสามารถมีบทบาทโดดเด่นในเวทีการทูตได้นั้น ไทยต้องยึดหลักของการเป็นประชาธิปไตย, สิทธิมนุษยชน, นิติรัฐ, ความเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโลกและก้าวทันความเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีอย่างจริงจัง
ทุกวันนี้เรามีนโยบายเหล่านี้บนกระดาษเท่านั้น แต่ยังไม่เห็นการกระทำที่เป็นรูปธรรมในระดับชาติ (ไม่ต้องเอ่ยถึงระดับสากล)
ไทยเราเคยมีประวัติของการเป็น Peace Broker ที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว
ที่เห็นชัดๆ คือการเป็น “คนกลาง” ลดความขัดแย้งระหว่างมาเลเซียกับอินโดนีเซีย…จนนำไปสู่การก่อตั้งอาเซียนในปี 1967 ที่กรุงเทพฯ
และอีกครั้งหนึ่งที่เราแสดงความเป็นผู้นำทางด้านการทูตเชิงรุกคือการประสานกับ “เขมร 3 ฝ่าย” ที่นำไปสู่การเจรจาสันติภาพที่กรุงปารีสในปี 1991
ใน พ.ศ.นี้ไทยจะสามารถดำเนินนโยบายที่สร้างสันติภาพในประเทศเพื่อนบ้านแห่งนี้ด้วยการประสานกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในฐานะของ “คนกลางที่ไร้วาระซ่อนเร้นและปราศจากผลประโยชน์ทับซ้อน” ได้หรือไม่
เป็นบททดสอบฝีมือทางการทูตไทยครั้งสำคัญแห่งยุคเลยทีเดียว
เพราะ “ความทะเยอทะยาน” กับ “ความสำเร็จ” นั้นบางทีก็ห่างกันฟ้ากับเหว
หากเราไม่มี “แผนปฏิบัติการ” ที่นำไปสู่เป้าหมายที่แท้จริงได้!
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022