เผยแพร่ |
---|
การเมืองในพม่ากำลังเป็นเหมือน”หนังตัวอย่าง”ให้กับการเมืองในสังคมไทยในเรื่องของ”รัฐประหาร” ในเรื่องของ”การเลือกตั้ง”
พม่าเดินอยู่ใน”วงจร”ของรัฐประหารและการเลือกตั้งตั้งแต่ยุคของนายพลเนวิน กระทั่งยุคของนายพลมินอ่องหล่าย
สังคมไทยก็เดินอยู่ใน”วงจร”รัฐประหาร การเลือกตั้ง
สะสมบทเรียนมาตั้งแต่รัฐประหารเมื่อเดือนมิถุนายน 2476 จนถึงรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
น่าสนใจก็ตรงที่สังคมไทยมี”พัฒนาการ”ใหม่
เป็นการสะสม”บทเรียน”ในท่ามกลางการต่อสู้ เป็นการยกระดับในกระบวนการ”ทดลอง”ทางการเมืองตั้งแต่ยุคหลังสถานการณ์เดือนตุลาคม 2516 หลังสถานการณ์เดือนตุลาคม 2519
นั่นก็คือ การใช้กระบวนการในทาง”กฎหมาย”มาเป็นเครื่อง มือเพื่อชะลอความจำเป็นในการใช้กระบวนการในทาง”รัฐประหาร”
เริ่มจากทดลองสร้างกติกาอันเป็นข้อจำกัดและเป็นเครื่องมือในการทำลายก่อนจะยกระดับเป็น”รัฐประหาร”
ความเข้มในกระบวนการทางกฎหมาย ไม่ว่าประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 มาตรา 113 ไม่ว่ากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการยุบพรรค
การยุบพรรคอาจเริ่มที่พรรคไทยรักไทยและต่อเนื่องมาถึงพรรคอนาคตใหม่
ตอนนี้กำลังเล่นเอาเถิดอยู่กับพรรคก้าวไกล
พม่าอาจมีเพียงรัฐประหาร เลือกตั้ง แล้วรัฐประหาร แต่ของไทยอลังการด้วย รัฐประหาร เลือกตั้ง ยุบพรรค แล้วรัฐประหาร มีความสลับซับซ้อนมากกว่า
แต่ไม่ว่าในเรื่องของรัฐประหาร ไม่ว่าในเรื่องเลือกตั้ง ไม่ว่าในเรื่องยุบพรรค ล้วนเกิดภายใต้กฎกติกาอันมีรากฐานมาจากรัฐประหารทั้งสิ้น
สถานการณ์ในพม่าจึงเหมือนแบบจำลองของไทย สถาน การณ์ในไทยจึงเป็นแบบจำลองให้พม่า
ความก้าวหน้าเป็นอย่างมากของไทย เห็นได้จากปรากฏการณ์เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 และความต่อเนื่องในปัจจุบัน
ภาพที่เห็น คือ การจับมือระหว่างพรรคที่เคยเป็นปฏิปักษ์กัน
นั่นก็คือ พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคพลังประชารัฐ อันเคยมีส่วนในการทำรัฐประหาร กับ พรรคเพื่อไทย อันเคยเป็นเป้าหมายของการทำรัฐประหาร
ปรากฏการณ์นี้สร้างความตื่นตลึงและกำลังกลายเป็นประดิษฐ์กรรมหนึ่งในทางการเมืองของสังคมไทย