เรื่องสั้น : ความเจ็บปวดของใครของมัน (1)

ไม่ใครก็ใครสักคนที่ต้องกด

จ้องมองหน้าซันเดย์ มองออกไปนอกร้านฟาสต์ฟู้ด นักท่องเที่ยวคลาคล่ำ แสงของวันกำลังหมดลง ความคึกคักมาเยือน เราอยู่ห่างโต๊ะตัวติดกระจก ทว่ายังมองเห็นภายนอก จ้องหน้ากันแล้วถามว่าใครจะเป็นคนกด

มือผมสั่นระริก พยายามควบคุมมัน หยิบกระบอกน้ำประจำตัวเบื้องหน้ายกดื่ม มันช่วยผ่อนคลายได้บ้าง

ใครสักคนต้องกด ไม่ซันเดย์ก็เป็นผม

หยิบมือถือที่วางบนโต๊ะ ส่งความตายออกไป

ผมใช้ชีวิตวนเวียนกรุงเทพฯ

บริเวณนี้เกือบครึ่งเดือน

เดินจากที่พักอาศัยบนถนนพระสุเมรุ เมื่อพ้นวัดบวรนิเวศฯ ก็ลัดเลาะตรอกซอกซอย ไม่คุ้นเคยละแวกนี้นัก คนเดินเยอะเกินไป ทางสายไม่กว้างนำสู่ถนนที่ใกล้แม่น้ำเจ้าพระยา ผมแวะมานั่งทุกวัน

“เหมือนเดิมนะคะ” เสียงทักทายขณะผมยังไม่พ้นประตูเข้าไป ดังจากคอกซึ่งไม่มีบาริสต้า ผมควักบัตรแตะจ่ายค่ากาแฟที่แถบแดงขนาดเท่าไพ่มุมเคาน์เตอร์ นึกย้อนไปสิบปีก่อน เจ้าของเสียงคงเป็นวัยนักศึกษา ดวงตาใสแจ๋วฉาบแววขี้เล่น ยิ้มสวย อาจดัดฟัน ร่างเล็ก มีเรียวนิ้วมือที่งดงาม แต่ไม่ใช่ในปีนี้ ปีที่เครื่องชงกาแฟมีสมองอัจฉริยะ กล้องสามตัวจดจำใบหน้า น้ำเสียง เครื่องแต่งกาย และพื้นที่เท้าเหยียบเมื่อพ้นประตูจะเป็นจุดเริ่มต้นสั่งการ เพียงแค่รองเท้าคู่เมื่อวานผ่านเขตประตูกระจก กล้องที่จับอยู่จะสแกนภาพ เครื่องชงกาแฟรอรับการประมวลผลจากโปรแกรมในทันที ข้อมูลชีวิตถูกบันทึกไปแล้วส่วนหนึ่ง “ตรงเวลาเป๊ะเลยค่ะ” เครื่องกล่าวต่ออย่างคุ้นเคย

ผมเงยหน้าเขม้นมองนาฬิกาที่ฝาผนัง เล็กไปหน่อย มีไว้เพื่อโชว์

สิบสามนาฬิกาตรง ผมจะเดินวนไปมาตามถนนเกือบทุกสายย่านบางลำพู จนก่อนท้ายสุดเลี้ยวเข้าด้านหลังวัดชนะสงคราม เพื่อโผล่มาถนนพระอาทิตย์ ข้ามมาร้านกาแฟที่อยู่อีกฟากในเวลาเดิม ก่อนออกไปเวลาเดิมเช่นกัน เพื่อเดินและเดิน ทำความคุ้นเคยถนนหนทาง เสาไฟ ผู้คน ผมรู้ว่าแท็กซี่ไว้หนวดแบบเล็กคาราบาวจะพารถมาจอดตรงใต้สะพานปิ่นเกล้าเวลาสี่โมงเย็น ผมยังพอรู้อีกว่าเขาไม่ค่อยได้ผู้โดยสาร แท็กซี่ไร้คนขับมีเยอะเกินไป คนขายไส้กรอกอีสานพร้อมลูกสาวจะมาถึงป้ายรถเมล์ตอนบ่ายสามครึ่ง

ซันเดย์กับผมแยกเดินสำรวจความน่าจะเป็น แล้วเราก็พบว่าที่ที่อันตรายสุดคือที่ปลอดภัย ตกลงเลือกถนนข้าวสาร ร้านฟาสต์ฟู้ดห่างสถานีตำรวจเพียงสิบห้าเมตร ปลอดภัยกับเราในการลงมือ แต่ไม่ปลอดภัยกับคนอื่น

เราทานเสร็จแล้ว รอจนกระทั่งหุ่นกระป๋องเคลื่อนตัวมาเก็บจานกับแก้วน้ำไป

หยิบโทรศัพท์แบบปุ่มกดโบราณขึ้นมา กดเลขปลายทางลงไป ส่งความตายออกไป เสียงระเบิดดังจากซอกข้างร้านถักผมร้อยเมตรถัดไปในถนนข้าวสาร

อย่างตรงเวลาไม่ต่างกัน เธอนั่งที่เก้าอี้เหล็กสีขาวของมุมสวนจำลองร้านกาแฟ

สังเกตดูจากแก้วกาแฟบนโต๊ะ ฟองคาปูชิโน่เย็นเพิ่งลดจากขอบแก้ว ไอเย็นน้ำแข็งยังไม่ละลายกลั่นหยดเกาะแก้วพลาสติกใสมากนัก อย่างมากก็สิบนาที เธอมาก่อนผมไม่น่าจะเกินสิบนาทีทุกวัน

“คุณเป็นคนกด” เธอลุกจากเก้าอี้ประจำ เดินมาถึงผมในครึ่งนาที แล้วเชิงถามว่า ผมเป็นคนกดใช่ไหม

พยักหน้ารับ ผมบอกให้เธอนั่ง รู้สึกขุ่นเคืองที่ถูกจับตา “ตามดูผมทำไมครับ”

“เพื่อคุณจะไม่ออกนอกเส้นทาง รายงานกลับขึ้นไป”

ในชุดสำนักงานธนาคาร ป้ายห้อยคอระบุสาขาริมถนนราชดำเนิน ผมไม่ถามว่ารายงานใคร คำสั่งตกลงมาเป็นทอดๆ จากยอดพีระมิด พอถึงชั้นฐานล่างโครงข่ายก็มากมายเกินจะรู้ว่าใครมีหน้าที่ทำอะไร เธอคงเป็นคนที่เหนือผมไปหนึ่งชั้น ตามดูพฤติกรรมและรายงาน ความซื่อสัตย์มาก่อนอื่นใด

“คราวก่อนเจ็บสาหัสสาม” เธอพูดถึงผลลัพธ์ที่ผมทำ “คุณเลือกที่ต่อไปรึยังคะ”

ผมส่ายศีรษะ นึกถึงหน้าสถานีตำรวจ ป้ายรถประจำทาง เต็นท์ของเทศกิจ อาจเป็นหน้าทางเข้าวัดที่คนเดินผ่านตลอดวันคืน

เธอก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือ ก่อนพูดว่าใกล้หมดเวลาพักแล้ว แสงสีส้มสว่างวาบเป็นระยะที่หน้าปัด เราเดินออกจากร้าน ข้ามฝั่งถนน ลัดเลาะซอยหลังวัดไปโผล่ที่หน้าถนนข้าวสาร เลียบทางเท้าไปตามถนนราชดำเนิน ที่ทำงานเธอห่างไปอีกสิบนาที รถติดและแดดแผดเผาใบหน้า ผมสวมแว่นตาปกป้องแสงไม่ใช่พลางตัวอะไร แค่แสบตา

กลิ่นน้ำหอมอันคุ้นเคยโชยชื่น หันมองเธอ เส้นผมเคลียบ่าทรงแฟชั่นจากเกาหลี

เรากำลังรอสัญญาณไฟเพื่อข้ามถนน “สามคนเป็นใครกันบ้างครับ”

“ลูกคนถักผมสามขวบ คนขายกางเกงร้านข้างๆ พนักงานร้านสะดวกซื้อมายืนสูบบุหรี่”

“ไปเยี่ยมเด็กกัน”

“ไม่ใช่หน้าที่พวกเรา” เธอหัวเราะ ผมส่งเพียงตรงนั้น ก่อนถึงหน้าธนาคารไม่ไกลนัก แยกย้ายจากกัน

นึกถึงวันนั้น ใครสักคนต้องกด ซันเดย์หยิบมือถือที่วางบนโต๊ะ ส่งความตายออกไป

ใต้อาคารสองชั้นของร้านหนังสือชื่อพาสปอร์ต หรือที่รู้กันอีกชื่อว่าร้านหนังสือเดินทาง

ผมกับซันเดย์อาศัยที่นั่น ชั้นใต้ดินลึกลับของร้านหนังสือ ก็แค่เคยเป็นร้านหนังสือเมื่อหลายปีก่อน คับแคบ อับทึบ เหนือหัวเรามีคนเดินเข้าออกทั้งวัน หนังสือนับพันเล่ม เคยเป็นร้านหนังสือในยุคหนึ่ง ก่อนต่อมาจะผันตัวเป็นพิพิธภัณฑ์ เก็บรักษาหนังสือชุดสุดท้ายของร้าน มีไว้เพื่อเยี่ยมชมและอ่านในร้านเท่านั้น เราได้ยินเสียงเก้าอี้และฝีเท้าตลอดวัน ทางลงมาห้องใต้ดินอยู่หลังร้าน อาศัยมาครึ่งเดือนผมไม่เคยเข้าไปในส่วนของพิพิธภัณฑ์ เจ้าของร้านซึ่งรู้ว่าเราจะทำอะไรนั้นขอร้องไว้ ไม่อยากให้พบเจอคนมากนัก เรายินดี หนังสือคือสิ่งสุดท้ายที่ผมจะหยิบมาเพื่อฆ่าเวลา มีคนหน้าซ้ำๆ มาเยี่ยมเยือนบ่อย ฟังจากเสียงและชื่อที่เรียกกันคงไม่เหงานัก ขณะนอนคิดว่ายังเหลือกี่คนกันที่อ่านหนังสืออยู่ในยุคนี้ ซันเดย์ก็กลับเข้ามา ไต่บันไดลิงลงสู่ห้องใต้ดิน

ครึ่งปีก่อน กลางดึกในบ้านที่ต่างจังหวัด คนกลุ่มหนึ่งปีนขึ้นบ้านบนชั้นสอง เอาผ้าห่มคลุมหน้าและมืออุดปากเจ้าของผ้าห่มเอง จับนั่งพิงผนัง ไม่พูดอะไรกันมากมาย ชกที่หน้าซ้ำๆ เสียงร้องแทบไม่เล็ดลอด สามสี่คนที่เหลือช่วยกันจับแขนขา ชกที่หน้าซ้ำเนิ่นนาน สลับกับขู่เข็ญว่าอย่าไปยุ่งมากนัก คนพวกนั้นไม่พูดว่าเรื่องอะไร แต่คนโดนซ้อมรู้ ซันเดย์รู้ว่าเรื่องอะไร ผมรู้จักครอบครัวเขาดี ซันเดย์เคยประจำการในกรมทหารด้วยกันที่เมืองหลวงสองปี พ่อเป็นคนเงียบ อารมณ์เย็นนิ่ง ไม่มีเรื่องราวกับใคร

กลุ่มคนที่บุกไปก็เหมือนผม เหมือนซันเดย์ แบบเจ้าหน้าที่เทศกิจ แบบตำรวจจราจร แบบครูที่ยืนหน้ากระดานดำ เป็นเพียงเจ้าหน้าที่ระดับล่างที่ปฏิบัติการ ไม่ว่าจะหน่วยงานใด ระดับปฏิบัติการยังต้องพึ่งพาแรงงานจากมนุษย์ รัฐถูกสั่งการจากเบื้องบนที่มีคนกดโปรแกรมให้เดินหน้าไม่กี่คน พวกเขาสุมหัวกันไม่เกินห้าสิบคน ประเมิน วิเคราะห์ เลือกคำสั่งป้อนเข้าระบบ ก่อนหน้านี้โปรแกรมการปกครองประเทศเคยส่งจากอเมริกา ใช้มาเนิ่นนาน แล้วข้อบกพร่องจึงทยอยออกมา ระบบควบคุมบางส่วนมันเฉียบขาดเกินไป ไม่มีความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์ ฟังก์ชั่นด้านการศึกษาก็ดูจะด้อยกว่าทางยุโรป หลังประชาชนออกมาตะโกนบอกว่า การบริหารเศรษฐกิจของรัฐห่วยแตก พวกเขาทนไม่ได้กับระบบเดิมที่ใช้ จะไม่ทนอีกแล้วกับรายได้ที่ไม่สัมพันธ์รายจ่าย แล้วผู้นำก็เห็นพ้องว่าควรเปลี่ยนโปรแกรมบริหารประเทศ สั่งมาใหม่เมื่อปีก่อน เลือกจัดซื้อจากบางประเทศของยุโรปมาแทน

“มีเด็กสามขวบด้วย รู้รึยัง” ผมแจ้งข่าว ซันเดย์ถอดเชิ้ตยีนส์ออกแขวนตะขอมุมห้อง ทิ้งตัวลงโซฟาเก่าพอกับชีวิตหนึ่งคน ผนังมีรูปปกหนังสือเก่าแปะอยู่ พร่าเบลอ เยิน และถลอกซีด ยินน้ำเสียงตัวเองล่องลอยกระทบผนังอีกด้านสะท้อนกลับเข้ารูหูอีกครั้ง และเริ่มเล่าเรื่องวันนี้ หญิงสาวพนักงานธนาคารที่ร้านกาแฟ คนในโครงข่ายของเรา

“น่าจะมีอีกหลายคนที่ตามดูเรา”

ซันเดย์ชี้นิ้วขึ้นเพดานห้องใต้ดิน ผมพยักหน้า เจ้าของร้านเป็นอีกคนที่รู้ความเคลื่อนไหวเรา อาจไม่ได้มีหน้าที่รายงาน แต่อยู่ในโครงข่ายแน่นอน

ผมจำภาพตอนงานศพแม่ได้ดี แม่อยากให้ซันเดย์รับราชการทหาร เขาไม่ปฏิเสธอะไร รับปากว่าปลดประจำการทหารเกณฑ์จะสมัครสอบนายสิบต่อ ดูเขาจะพอใจอนาคตที่ต้องเป็นฝ่ายปฏิบัติการจนแก่ เราไปรับศพที่โรงพยาบาล เมื่อถึงวัดช่วงก่อนเปลี่ยนใส่เสื้อผ้าที่แม่ชอบ เขาพลิกร่างควานมือโอบกอดเปะป่ายทั่วแผ่นหลัง ราวกับหาดูรอยปั๊มวันหมดอายุเพื่อให้แน่ใจว่าท่านจากไปแล้วจริง คล้ายตุ๊กตาที่เล่นตอนเด็กกับช่องใส่ถ่านด้านหลัง ถอดถ่านเก่าทิ้ง ใส่ก้อนใหม่ หุ่นยนต์ฟื้นชีพ

แต่แม่ไม่มีช่องใส่ถ่านด้านหลัง

“จำสัปเหร่อหมายเลขสองที่โกงไพ่เราในคืนงานศพแม่ได้ไหม ลุงแกก็โดนเยี่ยมเยือนถึงบ้าน”

เขาเน้นคำว่าเยี่ยมเยือน คลับคล้ายคลับคลา เราจับได้ว่าเขาซ่อนไพ่ไว้ใต้ผ้าขาวม้าข้างตัว รอยยิ้มแบบผู้ร้ายในยุคพระเอก สรพงศ์ ชาตรี รุ่งเรือง สัปเหร่อเมาหลับพิงเสาศาลาวัด เงินที่โกงพวกเรายังกำแน่นในมือ

ภาพใบหน้าสัปเหร่อหมายเลขสองลอยมาไกลๆ วันนี้รู้สึกเพลียพิกล ผมยกกระบอกน้ำประจำตัว ยกสูงจนคอตั้งแหงนกว่าเหล้าจะไหลลงคอ ปิดฝาวางลงข้างเตียงนอน

ซันเดย์พูดถึงเรื่องที่เกิดกับหมู่บ้านเขาต่อ “คืนเดียวพร้อมกันสี่หลัง”

ไม่ต้องสงสัยอะไร รู้ว่าเขาเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นเพื่อกลบทับกับเด็กสามขวบโดนระเบิด ทดแทน ชดเชยกันไป เกลี่ยกระจายเรื่องเลวร้ายกันไป

อาจเป็นเรื่องฟังเหลวไหล แต่คือวิธีการแบ่งปันความร้าวรานได้ง่ายสุดในประเทศนี้

บ่ายนั้นฟ้าอึมครึมทึมเทา

รออีกครั้งเพื่อเขย่าพวกเขา แต่ผมยังหาที่เหมาะไม่พบ รวมถึงเพื่อทอดระยะเวลากับคราวก่อน กล้องทุกตัวไม่ได้เป็นตาวิเศษ บางตัวเท่านั้นที่ดี หลายตัวตาบอด ทว่าความเข้มงวดมีเพิ่มขึ้น ช่วงเวลาเช่นนี้ผมคงได้แต่เดินชมเขตเมืองเก่ามหานคร

เหมือนเดิมนะคะ เครื่องชงของร้านกาแฟทักแบบนั้น ผมมองโหลแก้วกลมที่ใส่ทิป เห็นแบงก์ห้าพันจึงทำสะดุดตา ราคากาแฟแก้วไม่เกินห้าร้อยเท่านั้น ใครกันให้ขนาดนี้ แกล้งถามเครื่องชงกาแฟ ได้คำตอบว่าฝรั่งลูกค้าที่มาประจำ หย่อนลงตอนรับกาแฟแก้วสุดท้ายก่อนบินกลับประเทศ

ควักบัตรแตะจ่ายค่ากาแฟ

เสียงเครื่องชงกาแฟหัวเราะใสกังวาน

ซันเดย์หายไปสามวัน เขาขอตัวกลับไปเยี่ยมพ่อที่บ้านเกิด แบกเป้ลึกลับไปด้วย เป้เดินทางที่สะพายมันไปทุกที่แบบน่ารำคาญ เป็นเป้เดินทางขนาดกลางที่ควรไว้ในที่พัก ผมเคยแอบดูครั้งหนึ่ง นอกจากแท็บเล็ตกับผ้าคลุมผม มันไม่มีอะไรอื่นเลย เสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวอีกนิดหน่อยกองในห้องใต้ดิน เป้นั้นเบาหวิว อาจเคยชิน เขาเป็นนักเดินทาง หลังปลดประจำการซันเดย์สอบนายสิบทหารบกไม่ติด แม่ตายไปแล้ว เขาจึงใช้เวลาไปกับความชื่นชอบส่วนตัว เดินทางเร่ร่อนหางานทำตามจังหวัดที่เขาต้องการใช้ชีวิต ปีหรือครึ่งปีราวนั้น เราติดต่อสม่ำเสมอ ห่วงใยกันฉันพี่น้อง แล้วแค่ไปธุระใกล้ที่พักก็แบกออกไป ผมคิดเรื่อยเปื่อย หรือซันเดย์ชอบแบกความทรงจำ เขาไม่เคยพูดถึงมัน ใช้ซับหน้าแล้วผึ่งเล็กน้อยก่อนพับเก็บเข้ากระเป๋า

ผมเล่าเรื่องเป้ใบนั้นให้พนักงานธนาคารฟัง เธอผู้ซึ่งอยู่ในโครงข่ายเรา

บ่ายนี้ท้องฟ้าอึมครึม สาวแบงค์มาในชุดสีประจำธนาคารเช่นเดิม ฉาบลิปสติกชมพูเงาวาว ผมดำเริ่มแซมขึ้นตัดกับสีทองๆ ที่เธอย้อม อ่านชื่อที่ป้ายห้อยคออีกครั้ง และตำแหน่งต่อท้าย เจ้าหน้าที่อำนวยการเปิดปิดระบบประจำสาขาราชดำเนิน

“สุดใจ ชื่อเพราะดี ผมเคยชอบชื่อนี้ เป็นชื่อของสะพานตรงถนนเล็กๆ เลียบแม่น้ำแคว”

สะพานสุดใจเป็นสะพานใช้ข้ามแม่น้ำแหล่งฝรั่งพักอาศัยแถวตัวเมืองกาญจน์ ผมสงสัยมานานว่าอะไรหรือใครเป็นคนตั้งชื่อ ไม่มีความเป็นทางการ ไม่มีตำนาน สอบถามหาที่มาก็ไม่ใช่ชื่อผู้บริจาคเงินสร้าง

ผมรายงานสถานการณ์ในพื้นที่บ้านเกิดของสหายร่วมห้องใต้ดิน เมื่อวางมันลงผมก็รู้สึกว่าควรยกกระบอกน้ำประจำตัวขึ้นตบหลังกาแฟเล็กน้อย ลวดลายข้างกระบอกคนรักเลือกให้ ผมเกลียดลายตัวการ์ตูนญี่ปุ่น ทว่าคนรักเลือกแล้ว ผมก็ยอมรับมัน “ช่วงนี้สถานการณ์ทางนั้นเงียบๆ แต่รัฐจับตามองความเคลื่อนไหว ทั้งการเงิน อัตราการใช้น้ำไฟ มองความเคลื่อนไหวจากพิกัดตำแหน่งรถ”

“ผลประโยชน์มันเยอะเกินไป ที่แห่งนั้น” เธอลุกไปหยิบที่เขี่ยบุหรี่จากอีกโต๊ะ เมื่อเห็นผมดีดเถ้ามันลงพื้น ในสวนจำลองขนาดเล็กมีเราและชาวต่างชาติอีกสองโต๊ะ เป็นเวลาบ่ายเศษ

“วันนั้นผมไม่ได้กด” บอกเธอไปตามจริง “ผมไม่กล้า”

เธอพยักหน้ารับรู้ พูดเบาๆ ว่าคิดแบบนั้นเหมือนกัน ซันเดย์มีความคั่งแค้นในอกมากกว่า ควรเป็นเขาที่จะกด

ไม่น่าหวาดกลัวอะไร มีคนพร้อมลงมืออีกมาก อีกหลายคนเจ็บแปลบกว่า สูญเสียเยอะกว่า ผมไม่กลัว แค่กดโทรศัพท์เข้าเครื่องรับปลายทางที่อยู่ในถุงซึ่งห่างออกไป ก็แค่กดขู่ขวัญกันเล่นเท่านั้น

เฉลี่ยความหวาดกลัว เกลี่ยความเจ็บปวดกันไป ไม่ใช่งานยากอะไร

ผมไม่เคยตั้งคำถามต่อตัวเอง กับผู้คนเคราะห์ร้าย สงสารเห็นใจบ้าง แต่ผลลัพธ์ของงานเรารู้ล่วงหน้าแล้ว จำต้องมีความรุนแรง ไม่ต่างจากซันเดย์ พ่อคือแกนนำที่ต่อต้านโครงการรัฐ พี่น้องและญาติถูกคุกคามและทำร้าย หลังคืนที่คนย่องขึ้นบ้านฟันพ่อหายไปสี่ซี่ในเช้าถัดมา ปากและคางเลือดแห้งติดกรัง ดวงตาปิดจนมองไม่เห็นอะไรนอกจากแสงที่สาดกระทบเปลือกตา เจ็ดปีเต็มนับจากวันที่เราเข้าเป็นพลทหารด้วยกัน เมื่อเขาถามความคิดอ่านผมจึงไม่ลังเล มันมากกว่าความเป็นพี่น้อง

ผมถามเหตุผลที่เธอมาเป็นหนึ่งในโครงข่าย พนักงานธนาคารสาวคลี่ยิ้มคุ้นเคย

แบ่งปันกันไปในความเจ็บปวด