การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ เพียงหนึ่งเดียวของฉัน

เวลาที่พวกเขานอนกับฉัน พวกเขาคิดว่าฉันเป็นเด็กๆ หรือเปล่านะ

หรือเวลาที่พวกเขานอนกับฉัน ฉับพลันทันใดฉันก็กลายเป็นผู้ใหญ่ขึ้นแล้ว มีปีกงอกออกมาจากแผ่นหลัง มีเส้นขนหยักยาวออกไป มีเล็บที่แหลมคมขึ้นเรื่อยๆ ในไม่ช้า

และฟันเล็กๆ ของฉันก็จะอ้าออกเพื่อกัดเบาๆ เข้าที่ไหนสักแห่ง

“มีเทศกาลอะไรในดวงตาใสแจ๋ว

วามแววเหมือนดาวคืนเดือนดับ

ไกลแต่ยังกะพริบระยิบยับ

ราวกับโคมน้อยลอยเหนือฟ้าราตรี

ยินเสียงสายน้ำหรือเปล่า

บอกว่าเรากำลังอยู่ที่นี่

และมีดอกไม้ไหวตรงนี้

ตลิ่งซ้ายฝั่งหัวใจ

แน่ะ ชอบยิ้มอีกแล้ว ยิ้มอย่างนั้น

ไม่รู้หรือคนธรรพ์จะหวั่นไหว

ปีกแก้วบนแนวไหล่

จะขยับพร้อมจะไป จะโบยบิน”

ชายที่เคยแลดูสูงโปร่งบาง คุกเข่าลงข้างเตียงไม้ มีมุ้งสีขาวม้วนไว้ข้างบน

“แม้จะเป็นความรื่นเริงของน้ำค้าง

และละอองทองบางเพียงเกลื้อกลิ่น

หากกระซิบผ่าวแดดที่แวดริน

ก็เติมดินเติมน้ำสำหรับรากแล้ง…”

บทกลอนที่ผ่อนหนักผ่อนเบาออกมาจากปากสวย เหมือนแฝงด้วยมนต์ขลังบางอย่าง ทั้งๆ ที่สมองของฉันว่างขาว…เช่นทุกๆ ครั้งที่อยากจะหนีหายไปเสียจากโลกนี้

“อยู่เฉยๆ นะ”

พวกเขาต่างก็ชอบพูดคำแบบนี้กันด้วยสินะ

เวลาที่เรา “มองเห็น” กัน

ฉันรู้แต่แรกแล้วละ ว่าไม่มีอยู่จริงหรอก งานที่จะสบายๆ และทำให้ฉันพ้นไปจากสภาพทุเรศทุรังเหล่านั้น ไม่มีการนั่งร่วมโต๊ะบนทางเท้าที่แสงแดดทอละอองเสียหน่อย ไม่มีขนมแสนอร่อยสวยงาม ไม่มีชั้นหนังสือที่ให้ฉันหยิบฉวยได้ตามพอใจ

แต่มี…ใบหน้าที่คอยมองตามฉันอย่างพึงพอใจ สายตาที่จับจ้องในตุ่มเต้าเนินนม และมือที่หลายครั้งคอยเฉียดเข้ามาใกล้ปลายผม

หากฉันก็ไม่อยากจะสูญเสียความหวังไป ในเมื่อจะมากน้อยอย่างไร สิ่งที่เขาให้จริงๆ ก็คือหนังสือบทกวีสองเล่มนั้น

 

ฉันค่อยๆ แยกขาออก และเอนหลังลงบนเตียง เท้าแขนยันตัวเองไว้ ปล่อยให้กางเกงที่สวมอยู่รั้งรูดออกไปจากปลายเท้า

มีจูบที่แผ่วเบาบนต้นขา กับพึมพำที่หยาบคายเกินกว่าจะเป็นบทกวีใดๆ ได้

“อย่าใส่เข้าไปนะ” ฉันบอก

“ไม่อยากลองสักทีหรือ” คำตอบ

“ไม่”

ภาพของพี่โฟนั่นเอง ที่มักลอยเข้ามาทุกที ร่างที่นอนงอก่องอขิงด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว กับเลือดที่เคยไหลเลอะออกมา

แต่นั่นแหละ เราต่างก็รู้ว่า สิ่งที่โต้ตอบกันไปก็ไม่เคยมีอยู่จริง

ปากคอที่มูมมาม พลันจ้วงจาบเข้ามาหาร่างกายฉัน อีกไม่นานมันก็จะเป็นอย่างเคยเป็น

ปลายลิ้นที่จะระริกรัวตวัดไล้ และทำให้ฉันพลันตามืดบอดลง

 

เสียงลมหายใจของนายจ้างก้องสะท้อนอยู่ในห้องนอนบนชั้นสอง ขณะที่ฉันนอนมองเพดานสีน้ำตาล…มันเป็นไม้ตีระแนงเกือบตลอดฝ้า แสงลอดส่องเข้ามาจากช่องลมเหนือหน้าต่าง ไม่มีลมผ่านสักน้อยหนึ่งเลย

[เมื่อมีรสหวานอันจับจิต ก็ย่อมจะมีรสขมอันขื่นเข็ด**(1)

และเมื่อมีความสว่างอันสวยสะคราญ ก็ย่อมจะต้องมีความมืดอันมัวมน

เมื่อมีกลางคืนอันนิ่งสนิท ก็ย่อมจะต้องมีกลางวันอันอลหม่าน

และเมื่อมีความสุขอันแสนเกษม ก็ย่อมจะต้องมีความทุกข์อันแสนกำสรด

ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีคู่ของมัน ทั้งในส่วนซึ่งต่ำที่สุด และทั้งในส่วนซึ่งสูงที่สุด

ดังนั้น จงยอมรับเถิดซึ่งความผิดหวังในวันนี้ เพื่อจะได้มาซึ่งความสมหวังในวันต่อไป]

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ คือการที่เขาให้หนังสือกับฉัน

และคั่นบางหน้าไว้ให้

[ดวงจันทร์นั้นย่อมคู่กับดวงอาทิตย์ เหมือนดังที่หญิงย่อมคู่กับชาย

ดังนั้น จงยอมรับเสียเถิดซึ่งความปรวนแปรในวันนี้ เพื่อจะได้รับความเที่ยงแท้ในวันต่อไป]

 

เรานอนกันครั้งแรก บนเตียงในห้องพักไม้ ขึ้นบันไดไปบนชั้นสองของตึกเก่าๆ แห่งนั้น และฉันก็เฝ้ารอคอยว่า ตัวเองจะรู้สึกดีกับมันเพียงไร

พวกผู้ใหญ่ชอบนอนกับเด็กๆ นั่นคือสิ่งที่ฉันอาจจะเอาไว้เขียนบทกวีต่อไป

พวกผู้ใหญ่ยังชอบให้เด็กๆ ไล้เลียไปตามร่างกาย

พวกเขาจะให้คำสัญญามากมาย ถึงขนม ของหวาน อาหาร เสื้อผ้า เงินทอง และการตกปากรับคำว่าจะไม่ล่วงล้ำเข้าไป

แต่สุดท้ายพวกเขาก็จะทำลายมันลงจนหมดสิ้น

[ฉันบอกเธอว่า ฉันยอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น แต่จะไม่ยอมรับในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง

ฉันรู้ว่าโลกเรานี้มีรสหวาน และในขณะเดียวกันก็มีรสขม

แต่ทว่าในโลกเรามิได้มีแต่เพียงเท่านั้น หากยังมีทั้งรสเปรี้ยว รสเผ็ด รสเค็ม และรสจืด

บนท้องฟ้ามิได้มีแต่เพียงดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ หากยังมีดวงดาว และทั้งความว่างเปล่าอันเป็นสุญญากาศ

เมื่อเราไม่ได้เป็นเศรษฐี ก็หาหมายความว่าเราจะเป็นยาจกไม่

และเมื่อเราไม่มีความทุกข์ นั่นก็มิได้หมายถึงว่าเราจะต้องมีความสุข

สิ่งที่เราเรียกว่าคู่นั้น ความจริงหาใช่คู่ไม่

แม้กระทั่งหญิงและชาย]

 

“ขยับขาอีกหน่อยสิ”

นายจ้างสั่งฉันด้วยเสียงแหบพร่า และเกลือกใบหน้าลงไปอีก

ฉับพลัน ร่างสูงโปร่งบางนั้นก็กลายเป็นร่างที่หลังไหล่หนาเตอะ ผิวเนื้อเหนอะหนะด้วยเหงื่อไคล ผมหยักศกงอระท้ายทอย กับไรหนวดหนา

ฉันเกือบสะดุ้งกับระคายไรเคราที่เสียดสีมา อกเล็กๆ ของฉันชูชันขึ้นตามการแตะต้อง

“วันนี้จะเอาเท่าไหร่”

ฉันกระซิบจำนวนออกไป

“เอาไปทำไมเยอะนัก”

“จะต้องกลับบ้าน แม่ขาหัก”

ฉันแค่พูดเท่าที่ควรต้องพูดไป และนั่นไม่ได้เป็นจินตนาการเลยที่น้ำตาฉันหยาดไหล ยามเข้าไปยืนเบื้องหน้า และบอกกับนายจ้างว่า

“ฉันไม่อยากจะคิดถึงที่นี่ ถ้าเป็นไปได้จะไม่กลับมาอีก”

เพียงแต่ฉันตกคำว่า “ไม่” และคำว่า “เป็นไปได้” จมหายไปในอกตัวเอง กับบางคำที่สลับที่กันเสีย

เขาคงได้ยินแต่ว่า

“ฉันอยากจะคิดถึงที่นี่ ถ้าจะไม่ได้กลับมาอีก”

“ตกลง เดี๋ยวจะให้ ตามใจเฮียก็แล้วกัน”

ฉันทาบแขนเข้ากับคอโหนกหนา และยกสะโพกสูงขึ้นตามที่ได้เรียนรู้มา ฉันอาจจะเก่งขึ้นเรื่อยๆ ก็ได้ ที่รู้ว่าอะไรควรพูด และอะไรควรทำ

กับเรียนรู้เพิ่มเรื่อยๆ ว่า จะเจ็บน้อยลงได้อย่างไร

[เธอหัวเราะเมื่อกล่าวว่า ถ้าหญิงไม่คู่กับชายแล้ว จะมีอะไรอีกเล่าที่เป็นคู่ของหญิง

ฉันตอบเธอว่า หญิงนั้นคือของสำหรับชาย เหมือนที่เช่นชายเป็นของสำหรับหญิง

เหมือนเช่นที่อาหารเป็นของสำหรับมนุษย์ และน้ำนั้นเป็นของสำหรับพฤกษา

อาหารนั้นไม่ใช่สิ่งที่เป็นคู่สำหรับมนุษย์ เช่นเดียวกับน้ำไม่ใช่สิ่งที่เป็นคู่สำหรับต้นไม้

เพราะมนุษย์นั้นมิได้กินแต่เพียงอาหาร หากยังต้องหายใจ และยังต้องกินยา

และต้นไม้นั้นก็ยังต้องอาศัยแสงแดดและอากาศ

หญิงนั้นมิได้อาศัยแต่เพียงชาย หากทั้งพัสตราภรณ์และเพชรนิลจินดา]

ฉันยังเรียนรู้อีกว่า พวกตัวหนังสือในหน้าหนังสือนั้น บางครั้ง มันก็แค่ตัวหนังสือที่เรียงแถวออกมา

หาใช่ว่าจะเป็นสิ่งเดียวที่ศักดิ์สิทธิ์ไม่

เพียงแต่หากฉันจะมีชีวิตที่เรียบง่าย ก็คงไม่จำเป็นต้องมีบทกวี

[สิ่งที่เป็นคู่กันนั้นย่อมไม่มีอยู่อย่างแท้จริงในโลก และแม้ไกลออกไปในจักรวาลอันไม่สิ้นสุด

ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่มีรูปทรงและส่วนสัดอันเป็นแบบฉบับของตนเอง

และความสัมพันธ์ที่มีอยู่ต่อสิ่งอื่นนั้นก็ย่อมแผ่ขยายออกไปตามกลไกที่ถูกสร้างขึ้นอย่างเหมาะเจาะตามธรรมชาติ หาได้มีความสัมพันธ์แต่เพียงต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยเฉพาะไม่

เมื่อเรามองออกไปด้วยสายตาที่มีดวงกมล เราก็ย่อมจะแลเห็น

ว่าเรานั้นมิได้เป็นคู่ของใครและอะไรเลย

เราอยู่อย่างโดดเดี่ยวและเปลี่ยวเปล่า ตั้งแต่เกิดจนตาย…]

ฉันหวีดเสียงให้นายจ้างได้ยิน เพื่อทำให้เขาพึงพอใจ เนื้อตัวกระตุกสั่นเต้นระเร่า รับเอามวลเสียดยัดนั้นไว้ เพียงจะแลกกับสองสามใบแดง และเพื่อสักวัน…สักวัน แขนที่เข้าเฝือกของฉันจะเข้าที่ แล้วจะยังเขียนบทกวีได้อีก…บทกวีที่เป็นเพื่อนแท้เพียงหนึ่งเดียวของฉัน

———————————————————————-
(1) บทกวีของ ราช รังรอง