ฉัตรสุมาลย์ : เส้นทางสายไหม วัดหม่าถีซื่อ

เราออกจากเมืองอู่เว่ยมาตามเส้นทางที่เขาเรียกว่า ระเบียงเหอซี สู่เมืองจางเย่ ระยะทาง 275 ก.ม. คุณสุลิน ล่ามของเราอธิบายความสำคัญของจุดที่เรากำลังจะไป ลูกทัวร์ก็ตาโตดีในตอนแรก แล้วก็ค่อยๆ เงียบเสียงลง มีบางคนขอบริการน้ำร้อนสำหรับโอวัลติน ทัวร์นี้ก็บริการดีมาก มีเครื่องดื่มร้อนไว้บริการตลอดเส้นทาง

เราเดินทางมาถึงเมืองจางเย่ค่ำแล้วค่ะ ทัวร์พาแวะรับประทานอาหารเย็นก่อน อลังการเช่นเคย พระสี่รูปแยกไปนั่งโต๊ะต่างหาก นั่งรอญาติโยม เมื่อจัดการเรื่องอาหารเสร็จจึงเดินทางไปที่พักที่โรงแรมระดับ 4 ดาว

เส้นทางของเราเดินขึ้นเหนือทางตะวันตกเฉียงเหนือมาตลอดค่ะ แต่เช้านี้เราจะไปวัดหม่าถีซื่อ เลยต้องย้อนไปทางตะวันออกแล้วลงใต้ไป 80 ก.ม. จากวัดหม่าถีซื่อเราจึงจะเดินทางไปตามทิศเดิม คือ ตะวันตกเฉียงเหนือ

ชั่วโมงกว่า เราก็มาถึงบริเวณที่รถใหญ่จอด แล้วเราก็เอารถวีลแชร์ลงบริการสองผู้เฒ่า เมื่อคืนหิมะตกค่ะ บนถนนละลายหมดแล้ว ยังเหลือเป็นหย่อมขาวๆ ตรงริมทาง ให้ลูกทัวร์สาวๆ ได้ตื่นเต้นกัน

 

หมู่พุทธคูหาหม่าถีซือ แปลว่า รอยเท้าม้า ครอบคลุมพื้นที่ที่มี 7 พุทธคูหา คือ วัดเหนือ วัดใต้ พระสหัสพุทธคูหา วัดเจดีย์ทอง หมู่พุทธคูหาพระอวโลกิเตศวร บน กลาง ล่าง นับรวมได้กว่า 70 คูหา ตั้งอยู่บนหน้าผาหินทรายแดงของภูเขาตันหลิ่งซาน ตอนหนึ่งของเทือกเขาฉีเหลียนซาน อยู่ในเขตของคนกลุ่มน้อย หวีกู้จู๋ ทางตอนใต้ของเมืองจางเย่

นักประวัติศาสตร์รายงานว่ามีอายุมานานกว่า 1,600 ปี เริ่มขุดจำหลักขึ้นตั้งแต่สมัยราชวงศ์จิ้นตะวันออก มีการขุดภูเขาเข้าไปแล้วทั้งแกะสลักและปั้นรูปเคารพต่างๆ ขึ้นในคูหาถ้ำต่อเนื่องมาอีกหลายยุคหลายสมัย

สมัยที่รุ่งเรืองมีพระภิกษุจำพรรษานับ 300 รูป ร่วมสมัยกับถ้ำโมเกาที่อยู่ทางตะวันตกของจางเย่

ถ้ำแรกที่เข้าไปสูง 15 เมตรและกว้าง 27.43 เมตร มีความลึก 33.5 เมตร มีทั้งห้องด้านหน้า ห้องบูชา และระเบียง มีพระพุทธรูปอยู่ 48 องค์ สร้างในสมัยราชวงศ์หยวน ทางด้านขวาของระเบียง มีบ่อน้ำลึก 3 เมตร เป็นบ่อน้ำที่ชาวพุทธให้ความเคารพ มาตักไปทำพิธี และใช้รักษาโรคด้วย

เราเดินคลำตามกันไปในความมืด มีลูกทัวร์บางคนฉลาดเอาไฟฉายมาด้วย ก็ต้องอาศัยเกาะกันไป มีจิตรกรรมฝาผนังหลงเหลืออยู่ อาจจะเป็นผู้สร้าง และอุทิศในสมัยของการกวาดล้างทางวัฒนธรรม

คูหาถ้ำเหล่านี้ บรรดาพระพุทธรูปของเดิมถูกทำลายไปมาก พระพุทธเจ้าปูนปั้นทาสีทององค์สูงประมาณ 7 เมตร พระหัตถ์ซ้ายอยู่ในท่าประทานพร พระหัตถ์ขวาวางแนบตัวหงายพระหัตถ์ลงดิน องค์ยืนที่เราเห็นในห้องนี้ เจ้าหน้าที่ก็ว่าสร้างใหม่เหมือนกัน เมื่อ ค.ศ.1992 นี่เอง

แต่จิตรกรรมที่หลงเหลืออยู่ด้านข้างและด้านหลังยังเป็นของเก่า มีถังก้ารูปพระอวโลกิเตศวรของใหม่ ประดิษฐานให้ผู้คนได้กราบไหว้

พระพุทธรูปหินแกะสลักพระศอหัก ก็ยังตั้งอยู่ในห้องนี้

วัดนี้มีพระทิเบตดูแลอยู่รูปหนึ่ง

ด้านหน้าของวัดน่าสนใจ เวลามีงานเขาจะเอาถังก้า คือรูปพระอวโลกิเตศวรขนาดใหญ่ออกมากางขึงเต็มพื้นที่

เลยจากห้องโถงห้องแรกออกไป ไปถึงห้องโถงที่มีพระพุทธเจ้า 35 พระองค์ที่เราขอขมากรรม ที่วัตรทรงธรรมกัลยาณี ก็มีถังก้าขนาดกว้างประมาณ 1 เมตรที่จำลองรูปพระพุทธเจ้าทั้ง 35 พระองค์ที่ว่านี้

วัดนี้ ขุดตั้งแต่สมัยเบเหลียง ในช่วง 16 อาณาจักร ตัวถ้ำสูงจากพื้นดิน 43 เมตร มี 21 ถ้ำ ลดหลั่นกันเป็น 7 ชั้น มีทางเดินเชื่อมถึงกัน มีรูปพระนางตารา พระพุทธเจ้าขณะที่ประทับอยู่ที่ดาวดึงส์ตอนที่ขึ้นไปโปรดพุทธมารดา และมีเทพเจ้าตามความเชื่อของพุทธศาสนาแบบทิเบต

วัดนี้ มีรูปแบบสถาปัตยกรรมและพระพุทธรูปภายในล้วนเป็นแบบทิเบตอย่างชัดเจน แสดงถึงอิทธิพลของทิเบตในบริเวณนี้

 

หลังจากชมถ้ำรอยเท้าม้าแล้ว เราแวะรับประทานอาหารกลางวัน และแวะเข้าไปกราบพระพุทธรูปใหญ่ที่เรียกว้า ต้าฝ่อซื่อ

พระพุทธรูปองค์นี้สร้างในสมัย ค.ศ.1098 สมัยซีเซี่ย เป็นพระนอนที่แกะสลักจากไม้ที่มีความศักดิ์สิทธ์ที่สุดของจีน มีความยาว 34.5 เมตร พระอังสากว้าง 7.5 ม. เฉพาะพระกรรณยาว 4 เมตร พระบาทยาว 5.2 เมตร เสียดายว่าเจ้าหน้าที่ไม่ให้ถ่ายรูป

ออกมาด้านนอกมีเจดีย์ไม้ที่มีชื่อเสียง สร้างในสมัย ค.ศ.557-588 ตอนต้นราชวงศ์โจว ผ่านการบูรณะมาหลายสมัย ทั้งในราชวงศ์ถัง หมิง ชิง เพราะได้รับการยกย่องว่า เป็นหนึ่งในเจดีย์ที่ครบ 5 องค์ประกอบ กล่าวคือ โลหะ น้ำ ไม้ ไฟ และดิน ตามความเชื่อในปรัชญาจีนโบราณ

เจดีย์นี้มี 9 ชั้น สูง 32.8 เมตร ที่ด้านหลังของพระเจดีย์ มีอาคารสองชั้นที่เรียกว่า หอเก็บพระคัมภีร์ สร้างขึ้นในช่วงปลายราชวงศ์ชิง

 

บนเส้นทางนี้ เราแวะชมภูเขาสีรุ้ง เขาเรียกว่า เขตภูมิทัศน์จางเย่ ฉีเหลียนซานตันเสียตี้เม่า หรือโขดภูเขาทรายแดงหลากสีหวู่ไฉ่ซาน อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 2,000 ถึง 3,800 เมตร เป็นจุดที่มีท้องที่กว้างถึง 300 ตารางกิโลเมตร อยู่ระหว่างเมืองลินเซ และซูนาน ห่างจากเมืองจางเย่มาทางใต้ 40 ก.ม.

นึกภาพไม่ออกนะคะว่าเขาพาไปชมอะไร รถทัวร์เข้าไปจอดในลานจอด แล้วต้องซื้อตั๋วเข้าชม ทางการจัดรถบัสเล็กไว้ให้นักท่องเที่ยว เป็นรอบๆ ไป เมื่อเราเข้าไปในบริเวณภูเขาสีรุ้งจึงถึงบางอ้อ ร้องกันว่า “อู” “อา” ไปตลอดทาง มีจุดพักชมวิวให้ลูกทัวร์ได้ลงไปเดินตามแนวทางเดินที่ปูไม้กระดานอย่างดี เพื่อเลาะลัดขึ้นไปชมบนภูเขาสูง จะได้ถ่ายรูปได้ชัดเจน

ต้องเรียกว่าเป็นหนึ่งในภูมิทัศน์มหัศจรรย์ของจีนที่งดงามแปลกตา เป็นการสรรค์สร้างของธรรมชาติที่น่าอัศจรรย์ ภูเขาและเทือกเขาแต่ละลูกมีการฟอร์มตัวต่างกัน ระดับชั้นดินต่างกัน ให้สีที่แตกต่างกัน ส่วนใหญ่จะเป็นสีเฉดแดงน้ำตาลไล่ไปจนถึงสีเหลืองอ่อน ประกอบกับการฟอร์มตัวของชั้นดินที่ต่างกัน จึงเป็นภาพภูเขาที่เป็นชั้นเชิงมีสีต่างๆ อย่างน่าอัศจรรย์

ผู้เฒ่าไม่ไปเดินกับเขา ก็ต้องนั่งรอ จุดที่รอก็เป็นสถานีที่หลังคาเปิด พยายามหาจุดที่มีแดด แม้กระนั้นก็ยังหนาวเย็น

 

เมื่อพรรคพวกลงมาแล้ว เราก็ขึ้นรถทัวร์ที่เวียนมารับ แล้วไปส่งที่จุดชมวิวที่ลึกเข้าไป จุดที่เราลงไปชมจุดที่สองนี้ มีพื้นที่กว้างขวางกว่าแห่งแรก ภูเขาสีเฉดต่างๆ ไล่กันไป แม้ในลูกเดียวกันก็มีระดับชั้นที่มีสีต่างกัน

มีที่พักเป็นศาลา ที่มีเฉพาะหลังคา ชาวจีนนิยมเอาแผ่นโบสีแดงที่มีคำอวยพรต่างๆ ไปแขวนจนเต็มศาลา บ้างก็แขวนตุ๊กตาน่ารักเต็มไปหมด

ขณะรอที่จุดนี้ หนาวมากขึ้น เพราะเวลาเย็นลง พอตะวันเลยศีรษะเข้าช่วงบ่าย อุณหภูมิก็จะลดลงทันที ตอนที่รออยู่นั้น น่าจะเหลือ 1 องศาเซลเซียส

เรารีบขึ้นรถบัสของสถานที่นั้น ที่จะนำเราลงไปที่ลานจอดรถทัวร์ของเรา จากนั้นเราเดินทางเลียบเทือกเขาหิมะฉีเหลียนซาน ระยะทางอีก 200 ก.ม. เพื่อโฉบเข้าไปชมเมืองจิ่วฉวน ในอดีตเรียกว่าซู่โจว ตั้งอยู่ระหว่างมณฑลกานซูกับเมืองอาลาข่านในเขตปกครองตนเองมองโกเลีย

ต้องเล่าว่าทำไมชื่อเมืองจิ่วฉวน มีประวัติว่า เมื่อครั้งแม่ทัพฮั่วซวี่ปิ้งยกทัพไปปราบชนเผ่าโชวงหนูจนได้ชัยชนะในปี 121 ก่อน ค.ศ.

จักรพรรดิฮั่นหวูตี้ส่งสุรามาเป็นของกำนัล แต่สุรามีน้อย ไม่พอเลี้ยงทั้งกองทัพ แม่ทัพจึงเทเหล้าลงในบ่อ เกิดปาฏิหาริย์ น้ำในบ่อเป็นสุราบำรุงขวัญทหารหาญได้ทั้งกองทัพ

จิ่วฉวนเป็นเมืองที่มีคริสตัลสีเขียวนำมาเจียระไนเป็นแก้วดื่มเหล้าองุ่น เล่าลือกันว่า จอกเรืองแสงยามราตรี มีชื่อเสียงโด่งดังมาตั้งแต่ราชวงศ์ถังจนปัจจุบัน ท่านธัมมนันทาอดไม่ได้เข้าไปจับดูจอกสีเขียวที่ว่านี้ เนื้อละเอียด เจียระไนได้บางจริงๆ ค่ะ กว่าจะกลับถึงเมืองไทยพอดีได้แต่เศษจอกเหล้าเสียมากกว่า

คืนนั้น คณะเรานอนที่เมืองจิ่วฉวน แต่ไม่ได้ดื่มเหล้าของท่านแม่ทัพ